POLITICS

ป.ป.ช. เปิดตัว PRP Platform ฐานข้อมูลวิจัยต้านทุจริต

ป.ป.ช. เปิดตัว PRP Platform ฐานข้อมูลวิจัยต้านทุจริต ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนสู่การใช้นโยบายจริง

สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จัดสัมมนา ‘การขับเคลื่อนนโยบายต้านทุจริตด้วยฐานข้อมูลวิจัย’ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ จ.นนทบุรี พร้อมเปิดตัวเว็บไซต์ Policy Research Platform (PRP) ฐานข้อมูลวิจัยด้านการต่อต้านการทุจริต

นายวันชัย สีขาว ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำนักวิจัยและบริการวิชาการฯ กล่าวว่า PRP มีที่มาจากอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนดให้สำนักงาน ป.ป.ช. รวบรวมและพัฒนางานวิชาการด้านการต่อต้านการทุจริต สร้างเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ โดย PRP พัฒนาขึ้นเพื่อทำให้งานวิจัยที่ถูกนำมาใช้จริงเชื่อมโยงสู่การกำหนดนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

รศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า PRP สอดคล้องกับการดำเนินงานของ สกสว. ที่ให้ความสำคัญกับการติดตามการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง โดย PRP ใช้ AI ช่วยสรุปและเผยแพร่ข้อมูลออกมาเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย สังคมเข้าถึงงานวิชาการได้มากขึ้น

ดร.มานะ นิมิตมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ระบบ PRP ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่ฐานข้อมูลสำหรับผู้มีอำนาจ แต่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ประชาชนสามารถเข้าถึง ใช้ประโยชน์ และตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐได้อย่างเสรี การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและเข้าใจงานวิจัย จะช่วยสร้างความตระหนักและเพิ่มความเข้มแข็งในการต่อต้านคอร์รัปชัน

ธิปไตร แสละวงษ์ นักวิจัยอาวุโส จาก TDRI กล่าวว่า PRP เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาฐานข้อมูลงานวิจัยด้านการทุจริต และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบาย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การนำงานวิจัยไปใช้จริงยังจำเป็นต้องต่อยอดในหลายมิติ ทั้งการเชื่อมโยงกับหน่วยงานนโยบาย การบูรณาการกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ และการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ความสำเร็จของ PRP อยู่ที่การต่อยอดและการใช้ประโยชน์จริง การมีข้อมูลจำนวนมากจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อมีการนำไปใช้ในการปฏิบัติและสนับสนุนการตัดสินใจ

การพัฒนา PRP ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแหล่งข้อมูลวิจัยที่เชื่อถือได้ สะดวกต่อการเข้าถึง และสามารถใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการวางนโยบายและมาตรการต่อต้านการทุจริต อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

Related Posts

Send this to a friend