ย้อนรอยคดี ‘ทักษิณ’ รักษาตัวชั้น 14 ก่อนศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งพรุ่งนี้
ย้อนรอยคดี ‘ทักษิณ’ รักษาตัวชั้น 14 ก่อนศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งพรุ่งนี้ ลุ้นกลับเข้าเรือนจำหรือไม่ พบไต่สวนพยานกว่า 7 นัด 31 ปาก
วันพรุ่งนี้ (9 ก.ย. 68) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยออกหมายเรียกผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณเข้าฟังคำสั่งศาลด้วย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนายทักษิณ เดินทางกลับไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัว Bombardier Global 7500 หลังจากเดินทางไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 4 ก.ย.68 หรือ 5 วันก่อนที่ศาลจะนัดฟังคำสั่ง โดยนายทักษิณได้ยืนยันผ่านโซเชียลมิเดียว่า จะเดินทางไปรับฟังคำสั่งศาลด้วยตนเอง ในเวลา 10.00 น.
หากย้อนรอยคดีดังกล่าว นายทักษิณ เดินทางกลับถึงประเทศไทยในเวลา 09.00 น.ของวันที่ 22 ส.ค.66 ซึ่งเป็นการกลับไทยครั้งแรกในรอบ 17 ปี นายทักษิณถูกนำตัวไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยศาลมีโทษจำคุก 8 ปี จากคดีทุจริตที่ดินรัชดา คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้กฤษดามหานคร และคดีหวยบนดิน หลังการอ่านคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนายทักษิณไปรับโทษที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จากนั้นในคืนเดียวกัน นายทักษิณถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากมีอาการป่วยวิฤตพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจกว่า 6 เดือน
คดีนี้ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ขอให้ศาลไต่สวนการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ โดยศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาในวันที่ 30 เม.ย.68 และนัดไต่สวนพยานทั้งสิ้น 31 ปาก รวม 7 นัด
การไต่สวนนัดแรกคือ วันที่ 13 มิ.ย.68 ศาลไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน ในประเด็นระเบียบปฏิบัติและขั้นตอนการนำตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
การไต่สวนนัดที่ 2 เมื่อวันที่ 4 ก.ย.68 กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 5 ปาก เริ่มจากแพทย์ที่ทำการตรวจร่างกายนายทักษิณ ซึ่งพบว่านายทักษิณเป็นกลุ่ม 608 มีโรคเรื้อรังเกินศักยภาพการรักษาของโรงบาลราชทัณฑ์ จึงจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลตำรวจ
ขณะที่การไต่สวนนัดที่ 3 วันที่ 8 ก.ค.68 ศาลไต่สวนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 9 นาย กลุ่มแรกเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ควบคุมตัวนายทักษิณส่งโรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 22 ส.ค.66 จำนวน 5 นาย และกลุ่มที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 4 นาย ที่คุมตัวนายทักษิณขณะพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ระหว่างวันที่ 22 ส.ค.66-17 ก.พ.67
การไต่สวนนัดที่ 4 วันที่ 15 ก.ค.68 ศาลไต่สวนพยานกลุ่มผู้บริหารระดับสูงกรมราชทัณฑ์ 4 คนและผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 2 คน โดยประเด็นที่มีการไต่สวนคือ ระเบียบปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ ศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และข้อเท็จจริงในการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
การไต่สวนนัดที่ 5 วันที่ 18 ก.ค.68 ศาลไต่สวนพยานกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งศาลได้พยายามซักถามแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เรื่องการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเข้ามาพักที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ลักษณะห้องพักในโรงพยาบาล ลักษณะห้องพักชั้น 14 ทั้งนี้ศาลได้ขอให้พยานส่งเอกสารเพิ่มเติมเป็นข้อมูลเกี่ยวกับนักโทษที่เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 และบันทึกการรักษาของแพทย์
การไต่สวนนัดที่ 6 วันที่ 25 ก.ค.68 ศาลไต่สวนกรรมการจากแพทยสภา 3 ปาก ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ถามความเห็นเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ ซึ่งทั้งหมดให้ความเห็นตรงกันว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤต แต่ถูกนำส่งไปโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเฝ้าระวังอาการโรคหัวใจที่อาจที่มีโอกาสกำเริบ แต่กลับไม่ปรากฏการจ่ายยารักษาอาการป่วยวิกฤต และไม่ได้ทำการรักษาทันที
นอกจากนี้ระหว่างการพักรักษาตัวชั้น 14 นายทักษิณ มีอาการเจ็บนิ้วและหัวไหล่จนเข้ารับการผ่าตัด 2 ครั้งซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้อนุญาตให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจต่อ อย่างไรก็ตามการรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูก หากต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล สามารถกลับบ้านได้ไม่เกิน 7 วัน และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายเดือน
การไต่สวนครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 30 ก.ค.68 นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นพยานปากสุดท้าย ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากนายทักษิณ และในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นมีการประชุมเตรียมความพร้อมรับนายทักษิณร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมราชทัณฑ์ โดยมีการจัดเตรียมห้องคุมขังสำหรับนายทักษิณเป็นกรณีพิเศษ ยืนยันว่าไม่เคยเห็นเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ทราบเรื่องดังกล่าวหลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
รายงาน: ณัฐพร สร้อยจำปา












