ปิดตำนาน 21 ปี เลขาธิการพรรค 3 ยุค
ภูมิธรรม พร้อมวางมือจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ปิดตำนาน 21 ปี เลขาธิการพรรค 3 ยุค
ในการประชุม ส.ส. พรรคเพื่อไทยวันนี้ (2 ก.ค. 2562) พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ได้แจ้งลาออกจากการเป็น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และจะมีหนังสือลาออก มีผลอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ค. 2562) ส่งผลให้ กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าหมดหน้าที่ไปด้วย เพื่อเปิดทางให้มีการเสนอชื่อนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกำหนดให้ต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น
มีรายงานข่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัยจะไม่ขอรับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ในกรรมการบริหารชุดใหม่ พร้อมวางมือจากการทำหน้าที่นี้เพื่อเปิดทางให้คนรุ่นหลังได้เข้ามาทำงานต่อไป ตรงกับรายงานข่าวที่ระบุว่าจะมีการเสนอชื่อของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. ซึ่งเป็นคนสนิทของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาทำหน้าที่เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตามยุทธศาสตร์ที่จะมีการปรับการบริหารพรรคเพื่อไทยใหม่ หลังแกนนำคนสำคัญไม่ได้เป็น ส.ส.
สำหรับนายภูมิธรรม ถือเป็น Keyman คนสำคัญของพรรคเพื่อไทย และเป็นบุคคลที่ นายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง เป็นนักการเมืองที่ได้รับการยอมรับ ทั้งอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย และนักยุทธศาสตร์การเมืองที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง
นายภูมิธรรมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยกับนายทักษิณ และเป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทยคนแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 จนถูกยุบพรรคและเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาทางยุทธศาสตร์ให้กับพรรคพลังประชาชน ในช่วงปลายรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และได้เริ่มกลับเข้ามาบริหารพรรคเพื่อไทยในฐานะเลขาธิการพรรคอีกครั้งในยุคของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนเกิดการรัฐประหาร
นายภูมิธรรมได้กลับมานำทัพพรรคเพื่อไทย ที่มี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นหัวหน้าพรรค สู้ศึกเลือกตั้งปี 2562 จนสามารถรักษาตำแหน่งพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งด้วยจำนวน ส.ส. มากที่สุด 136 คน แต่ด้วยกติการัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ไม่สามารถมี ส.ส. บัญชีรายชื่อเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้ จึงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ภายในพรรคใหม่ ให้สอดคล้องกับการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร
โดยจะมีการแจ้งเรื่องนี้ต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคพรุ่งนี้ 3 ก.ค.เวลา 10.30 น.
การวางมือจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ของนายภูมิธรรม ในครั้งนี้ จึงนับเป็นการปิดตำนานนักการเมืองผู้รั้งตำแหน่งเลขาธิการพรรค 3 ยุค จากพรรคไทยรักไทย ถึง พรรคเพื่อไทย ยาวนานถึง 21 ปี
