LIFESTYLE

ใช้สมุนไพรใกล้ตัว เพิ่มระบบโลหิตไหลเวียนดี-ผิวพรรณชุ่มชื่นผ่องใส

ไม่น้อยหน้าศาสตร์ความงามเกาหลี ก็ต้องยกให้ภูมิปัญญาความงามของสาวไทย ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะการกินพอกพืชผักสมุนไพรไทยใกล้ตัว ที่คุณย่าคุณยายของเราได้บอกต่อเอาไว้ เพราะนอกจากปลูกไว้รับประทาน ก็ยังสามารถนำมาทำสวยได้ เพียงแค่ตำและพอกเอาไว้ เมื่อล้างออกหน้าก็สวยเด้งไร้สิวฝ้า ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญยุคนี้เทรนด์เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์ดูแลผิว ที่เน้นความเป็นออแกนิคใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติแท้ ทำให้ปราศจากสารเคมีปนเปื้อนสู่ผิว กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก งานนี้ “สมุนไพรไทย” และ “ผักสวนครัวพื้นบ้าน” ที่ปลูกไว้รอบบ้านก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง เพื่อนำมาทำสวยได้ตั้งแต่ หน้า ผม และผิวพรรณ ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหาได้ใกล้ตัวอีกด้วย

The Reporters ได้พูดคุยกับ คุณหมอสอง หรือ “เภสัชกรหญิง ผกากรอง ขวัญข้าว” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรไทยและพืชสวนครัว ที่คุณสาวๆสามารถนำมาใช้ดูแลสุขภาพผิวพรรณบนใบหน้า รวมถึงผิวกายให้ดูดี ซึ่งถือเป็นความงามใกล้ตัวและใกล้ครัว ที่เป็นภูมิปัญญาของคนรุ่นปู่ย่าตายายเคยทำใช้มาก่อนหน้า แต่ไม่ลืมบอกต่อลูกหลาน เช่น “มะกรูด” ที่ถือเป็นผักสวนครัวสำหรับทำอาหาร และยังเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้เป็นส่วนผสม ของการปรุงยาตำหรับต่างๆด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการช่วยเรื่องทำให้ ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดี ซึ่งเป็นที่มาของผิวพรรณผุดผ่องงานนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับพืชสมุนไพรเพื่อความงาม ทั้งช่วยเรื่องเลือดลมไหลเวียนดี สมุนไพรที่ใช้ขัดผิวกาย และบำรุงผิวชุ่มชื่นไร้สิวฝ้า มาบอกต่อคุณสาวๆ ให้ทำตามกันได้อย่างง่ายๆ

เภสัชกรหญิง ผกากรอง ให้ข้อมูลว่า “ สำหรับสมุนไพรที่ใช้กันมาแต่เดิม และใช้กันมาถึงทุกวันนี้ ในการช่วยบำรุงโลหิตนั้นได้แก่ “ยาดองน้ำมะกรูด” ซึ่งมีสรรพคุณทำให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี ดังนั้นคนโบราณจึงมีการกินและใช้มะกรูดในการดูแลสุขภาพ และความงามไปพร้อมๆกัน เพราะจะช่วยทำให้ผู้ที่มีเลือดหนืดกลับมาไหลเวียนดีอีกครั้ง และทำให้ไม่มีสิวฝ้าหรือมีน้อยลง ทั้งนี้วิธีการทำ “ยาดองน้ำมะกรูด” นั้น เราจะนำมามะกรูดมาฝานเป็นแว่นๆ จากนั้นนำมาดองใส่ในขวดโหล ตามด้วยการใส่เกลือ และทิ้งเวลาดองไว้ประมาณ 2-3 เดือน กระทั่งมะกรูดฝานเริ่มย่อยสลาย และความเปรี้ยวของมะกรูด เริ่มกลายเป็นน้ำออกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งวิธีการดื่มก็จะนำน้ำมะกรูดดอง มาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่ม ในปริมาณ 30 ซี.ซี หรือประมาณ 1 แก้วเป๊ก หรือบางคนก็จะนิยมใส่น้ำผึ้ง ลงไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งคนโบราณจะนิยมดื่มน้ำมะกรูดดองเป็นประจำ และคำว่าดื่มเป็นประจำนั้น ไม่ใช่การดื่มติดต่อกันทุกวัน แต่เป็นในลักษณะที่ว่านึกได้เมื่อไรก็ดื่มเมื่อนั้น

นอกจากนี้สมุนไพรที่ใช้บำรุงเลือด เช่น “ชาดอกคำไทย” หรือที่หลายคนเรียกว่า “คำเงาะ” (ผลจะมีลักษณะคล้ายเงาะ และมีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ด้านใน ซึ่งเมล็ดด้านในนำมาตากแห้งทำเป็นชาชงดื่ม) หรือจะตากดอกคำไทยไว้จนแห้งทั้งดอก และนำมาชงน้ำร้อนดื่มก็ได้เช่นกัน สรรพคุณคือเป็นสมุนไพรบำรุงเลือด ทั้งนี้แพทย์แผนไทยเราเชื่อกันว่า สมุนไพรที่มีสีแดงนั้นจะมีสรรพคุณ ในการรักษาเกี่ยวการบำรุงโลหิต ทั้งนี้การดื่มชาดอกคำไทย คนโบราณมักจะดื่มบ้างลืมบ้าง ไม่ใช่การดื่มเป็นประจำทุกวันเช่นเดียวกัน ส่วนสมุนไพรบำรุงเลือดลม ที่สำคัญอีกหนึ่งชนิด คือ “แก่นฝาง” ก็สามารถนำมาชงน้ำดื่ม หรือต้มดื่ม เพื่อบำรุงเลือดได้ โดยที่น้ำต้มแก่นฝางก็จะมีสีแดงด้วยเช่นกัน

“แต่ทั้งนี้ในกลุ่มของผู้ที่มีเลือดจาง หรือผู้ที่มีภาวะเลือดไม่แดงหรือเลือดจาง อันเนื่องจากเม็ดเม็ดเลือดไม่ปกติหรือไม่ดี ก็จำเป็นต้องไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์แผนโบราณที่รักษาเกี่ยวกับ โรคเลือดจางโดยตรง เพื่อให้จัดยาแผนโบราณเพื่อบำรุงเม็ดเลือด เป็นต้น เพราะคำว่าการบำรุงโลหิตเป็นเพียงคำกว้างๆเท่านั้น ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติมากเกินไป ก็ต้องพบแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์แผนไทยที่มีเชี่ยวชาญ เพราะผู้ที่ภาวะเลือดจางบางคน ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด แต่มีปัญหาเรื่องการดูดซึมไม่ดี เป็นต้น”

มะขามเปียก-ขมิ้นชัน-ตำลึง-ว่านหางจระเข้-ข้าวสารใหม่ สมุนไพรกินใช้ในครัว สู่การขัดและพอก กระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ช่วยผิวพรรณเนียนเด้ง

บำรุงระบบโลหิตกันไปแล้ว ถึงขั้นตอนการใช้พืชผักสมุนไพร เพื่อขัดผิวขัดตัวกันบ้าง คนสมัยก่อนมักจะใช้ “มะขามเปียกขัดตัวเพื่อให้ขาว” แต่อย่าลืมว่ามะขามเปียกมีความเปรี้ยว ซึ่งทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ดังนั้นหลังขัดผิวด้วยมะขามเปียก ให้ทาขมิ้นชันทุบพอเอียดหรือขมิ้นผง ก็จะช่วยลดความระคายเคืองที่ผิวได้ ก็จะทำให้ผิวพรรณผ่องใสเนียน นอกจากนี้คนโบราณได้นำเอา “ข้าวสารใหม่ตำละเอียดพอกหน้า” หรือบางคนก็จะผสมน้ำมะขามเปียกลงไปได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มความหนืดขณะที่นำข้าวสารใหม่ตำมาพอกหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวหน้าของเราผ่องใส โดยการนำข้าวใหม่หรือข้าวที่พึ่งเกี่ยวมาใหม่ๆ มาตำครั้งแรกเพื่อกะเทาะเปลือกข้าวออกก่อน กระทั่งเหลือแต่เมล็ดข้าวสารใหม่ และตำจนละเอียดกระทั่งมีน้ำออกมา หรือจะผสมน้ำ หรือน้ำมะขามเปียก และนำมาพอกทิ้งไว้สักครู่ พร้อมกับนวดขัดถูเบาๆและล้างออก ก็จะช่วยบำรุงผิวหน้าและทำให้ผิวนุ่มเนียน เพราะในข้าวใหม่จะมีวิตามิน และเกลือแร่ที่ช่วยดูแลผิวหน้าของเรา ทั้งนี้หากไม่สามารถหาข้าวสารปลูกใหม่ ที่พึ่งเก็บเกี่ยวได้ สามารถซื้อข้าวสารล็อตใหม่ๆ ที่ขายในร้านขายข้าวสาร มาใช้แทนได้เช่นกัน เลี่ยงการใช้ข้าวสารเก่า เพราะจะทำให้มีกลิ่นเหม็นหืน ขณะที่เราพอกหน้า

“ทั้งนี้การขัดถูผิวหน้าผิวกาย ด้วยพืชสมุนไพรต่างๆนั้น แนะนำว่าทำอาทิตย์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะปกติกลไกลการผัดตัวของเซลล์ผิว ก็จะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นการขัดตัวขัดผิวที่มากเกินไป จะทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองได้ หรือผู้ที่มีปัญหาสิวฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ควรเลี่ยงการขัดถูกหน้าแรงๆจะดีที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ ของปัญหาผิวบนใบหน้าดังกล่าว”

นอกจากนี้ก็สามารถนำ “ว่านหางจระเข้มาพอกหน้า” แทนการขัดตัว เพราะเราจะไม่นิยมนำมาขัดตัวแต่จะใช้วิธีพอกหน้าแทน โดยเฉพาะคุณสาวๆที่มีปัญหา สัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานๆ และมีฝ้าบนใบหน้า  โดยการปลอกเปลือกออก และฝานเอาเฉพาะเนื้อว่านหางจระเข้ด้านใน ให้มีขนาดชิ้นเล็กๆ เพื่อนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าสดชื่นนุ่มชุ่มชื่นไม่แห้งตึง และสามารถใช้กลุ่มของ “แตงกวาฝานพอกหน้า” และ “ตำลึงพอกหน้า” โดยตำใบตำลึงให้ละเอียดก่อนนำมาใช้พอก เพื่อให้หน้านุ่มได้เช่นกันจากการถูกแสงแดดเผา เนื่องจากว่านหางจระเข้ แตงกวา และตำลึง มีสรรพคุณเป็นพืชผักฤทธิ์เย็นและลดอักเสบได้ดี ทั้งนี้ระยะเวลาของการพอกหน้าของแต่ละคน สามารถพอกได้นาน เพราะพืชสวนครัวเหล่านี้ หลายบ้านมักจะปลูกเอง ทำให้ค่อนข้างปลอดสารเคมี จึงสามารถพอกได้นาน ตามที่ผิวหน้าของสาวๆแต่ละคนจะรับได้

น้ำมันจากธรรมชาติ ตัวช่วยบำรุงผิวหน้าและผมนุ่มชุ่มชื่น

คนโบราณจะนิยมใช้น้ำมันในการบำรุงผิว เช่น น้ำมันมะพร้าวที่ลงมือเคี้ยวปรุงเอง แต่เนื่องจากข้อจำกัดของน้ำมันมะพร้าวมักจะมีความหนืด หากทาบนใบหน้าอาจจะทำให้ติดค้างที่ชั้นผิว โดยไม่ลงไปสู่ผิวหน้า ดังนั้นสมัยคุณย่าคุณยายจึงใช้ “น้ำมันมะพร้าวทาตัวหรือหมักผม” นั่นเอง เพื่อให้ผมและผิวกายนุ่มชุ่มชื่น ส่วนผิวหน้านั้นจะนิยมใช้ “น้ำมันรำข้าวทาหน้า” เพราะจะมีโมเลกุลเล็กกว่าน้ำมันมะพร้าว ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้เป็นอย่างดี

“หรือบางคนนิยมใช้ “ทานาคาทาหน้า” หรือ หลายคนเรียกว่า “กระแจะ” เพื่อช่วยลดการอักเสบและระคายเคือง ของผิวหน้าจากการได้รับแสงแดด และสรรพคุณของทานาคา ยังช่วยป้องกันสิวฝ้าได้เช่นเดียวกัน โดยการฝนท่อนไม้ทานาคา จากนั้นให้ผสมเล็กน้อย และนำมาทาหน้า แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ว่า ไม้ทานาคานั้น จะมีเฉพาะในเขตจังหวัด ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเท่านั้น ที่สำคัญก่อนนำพืชสมุนไพรทุกชนิดมาใช้บำรุงขัดหรือพอกหน้า จำเป็นต้องล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง และหากสาวๆคนไหนที่ไม่ต้องใช้แป้งฝุ่น หรือแป้งพัฟทาหน้า แนะนำให้นำข้าวสารใหม่ มาตำจนละเอียดกระทั่งได้ผงแป้งสีขาวจากข้าวที่ตำ และมาทาหน้าแทนแป้งฝุ่นก็ได้เช่นกัน เพราะวิตามินและเกลือแร่จากข้าวใหม่ จะช่วยบำรุงหน้าของคุณสาวๆ ให้ดูเรียบเนียนสุขภาพดีได้ค่ะ”

Related Posts

Send this to a friend