‘ลอรีอัล’ นำทีมเจาะลึก 6 เทรนด์โลกสู่กลยุทธ์สร้างแบรนด์ไอคอนิกในงาน ‘COSMOPROF CBE ASEAN 2025’

“ลอรีอัล” ชี้ 6 เทรนด์บิวตี้โลก กำหนดทิศทางอุตสาหกรรม
ภายในงานสัมมนา COSMOPROF CBE ASEAN “Building Iconic Beauty Brands: Strategy, Story, Success” มีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เจาะลึกเทรนด์บิวตี้แห่งอนาคต : จากเทคโนโลยีสุดล้ำ สู่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป กำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอย่างไร” โดย นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
นายแพทริค กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดความงามโลกมีมูลค่ารวมประมาณ 2.94 แสนล้านยูโร หรือราว 10.834 ล้านล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดคือ 39% เติบโต 2.7% ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม 21% เติบโต 4.8% ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 17% เติบโต 4% ผลิตภัณฑ์น้ำหอม 13% เติบโต 11% และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 10% เติบโต 6.1% เมื่อพิจารณาตามกลุ่มตลาด พบว่ากลุ่มตลาดเวชสำอางมีการเติบโตมากที่สุดถึง 8% รองลงมาคือกลุ่มตลาดมวลชน 6% กลุ่มตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับช่างผมมืออาชีพ 3.5% และกลุ่มตลาดความงามชั้นสูง 2%
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรส่งผลให้มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2573 จะมีจำนวนผู้สูงอายุถึง 1,000 ล้านคนทั่วโลก จากปัจจุบันที่มีจำนวน 850 ล้านคน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของตลาดความงาม เนื่องจากมีกำลังซื้อสูงและให้ความสนใจในการดูแลผิวพรรณ รูปร่าง และสุขภาพของตนเอง ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มประชากรที่มีศักยภาพในการบริโภคผลิตภัณฑ์ความงามอีก 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเจนซี (Generation Z) ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้านคนในปี 2573 กลุ่มเจนอัลฟา (Generation Alpha) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่จะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นในปี 2573 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 200 ล้านคน และกลุ่มผู้บริโภคชาย ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยปัจจุบันมีจำนวนเพียง 1 ใน 4 ของผู้บริโภคทั้งหมด และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามเพียง 10% เท่านั้น
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรแล้ว การเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆ ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดความงามเช่นกัน จากการสำรวจของ IPSOS Global Trends ปี 2567 พบเทรนด์หลักที่สะท้อนวิถีชีวิตและสังคมของผู้คนในหลายมิติ ได้แก่
– รอยร้าวของโลกาภิวัตน์ (Globalization Fractures): ผู้คนเริ่มหันกลับมารักและภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์ของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการตอบรับของตลาดความงาม เช่น การมีผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะวัฒนธรรมหรือประเทศ เช่น บรรจุภัณฑ์ลายมังกรสำหรับชาวจีน การเติบโตของแบรนด์ท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่เหมาะกับผมหยิกศกโดยเฉพาะ
– ความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Splintered Societies): ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียม ปัญหาการอพยพย้ายถิ่นฐาน และความขัดแย้งในแต่ละประเทศ ส่งผลให้เกิดการตอบรับของตลาดความงาม เช่น แบรนด์ที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่า มีคุณภาพดีในราคาย่อมเยา และแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามระดับสูงสุด (Ultra-luxury) เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง
– การตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาโลกรวน (Climate Convergence): ผู้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกรวนมากขึ้น และเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม สิ่งนี้ส่งผลต่อตลาดความงาม เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่ช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกรวน เช่น แชมพูสระผมในรูปแบบสบู่ก้อน และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีจริยธรรมในการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า เช่น ไม่ทดลองผลิตภัณฑ์ในสัตว์ สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้ และเคารพสิทธิมนุษยชน
– ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Techno Wonder): ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลอย่างมากต่อตลาดความงาม เช่น การเกิด Beauty tech หรือนวัตกรรมเพื่อความงามที่ก้าวหน้า ตัวอย่างเช่น ลอรีอัลได้พัฒนา Cell BioPrint ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์ผิวแบบเฉพาะบุคคลที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการชะลอวัยและการป้องกันปัญหาผิวในอนาคต
– สุขภาพกายและใจมาเป็นที่หนึ่ง (Conscientious Health): ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดความงามตอบสนองด้วยผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์คำว่า “สมบูรณ์แบบ” เช่น คลินิกความงาม รวมถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สนับสนุนแนวคิดการมีชีวิตที่ยืนยาว เพื่อให้สามารถดูแลตนเองและความงามไปพร้อมกับการมีอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
– พลังแห่งความเชื่อมั่น (Power of Trust): ผู้บริโภคจะให้ความเชื่อถือในแบรนด์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน หรือมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแนะนำ สิ่งนี้ส่งผลต่อตลาดความงาม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น ผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่แนะนำโดยแพทย์ผิวหนัง และแบรนด์ที่มีความเป็นมายาวนาน เช่น คีลส์ ซึ่งเคยเป็นร้านขายยาและสมุนไพรมาก่อน
จากเทรนด์ความงามโลกดังกล่าว ลอรีอัล กรุ๊ป จึงให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์เพื่อความงาม โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงควบคู่ไปกับ Beauty Tech เพื่อมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล รวมถึงประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ลอรีอัล กรุ๊ป ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้เพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ ตลอดกระบวนการทำงาน เช่น การเสริมสร้างศักยภาพการวิจัยผ่านความร่วมมือกับ IBM โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (GenAI) มาช่วยในการค้นหาข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับสูตรและส่วนผสมเครื่องสำอาง เป็นต้น
นายแพทริค กล่าวว่า ลอรีอัล กรุ๊ป ไม่เพียงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเท่านั้น แต่ยังทำงานเพื่อกำหนดอนาคตของความงาม และยกระดับประสบการณ์ความงามอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างเหนือระดับ ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึก การคาดการณ์ที่แม่นยำ และกลยุทธ์การตลาดที่เฉียบคม พร้อมนำเสนอนวัตกรรม Beauty Tech ที่ล้ำสมัย และผสานพลัง AI เพื่อสร้างสรรค์ความงามเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง
Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025: เวทีสำคัญของอุตสาหกรรมความงามอาเซียน
เวทีเสวนา COSMOPROF CBE ASEAN “Building Iconic Beauty Brands: Strategy, Story, Success” ซึ่งจัดโดย Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok หรือ CCA2025 ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ผู้บริหาร และเจ้าของแบรนด์ มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับในการนำพาแบรนด์ไทยไปสู่ระดับสากล
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเป็นประตูและศูนย์กลางของภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงจัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีสำหรับการนำเสนอและแลกเปลี่ยนนวัตกรรม สร้างความร่วมมือทางธุรกิจ และขยายเครือข่ายเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมความงามในระดับภูมิภาค ในปีนี้มีการขยายพื้นที่จัดงานเป็น 25,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับผู้ร่วมแสดงงานมากกว่า 2,000 แบรนด์ และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 17,000 คน
นายสรรชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นประตูสู่อาเซียนและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ภายในงานจึงรวบรวมเทรนด์ต่างๆ ด้านความงาม และเป็นงานเดียวที่รวมผู้ผลิตตั้งแต่กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบไปจนถึงสินค้าสำเร็จรูป นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังสามารถสร้างเครือข่ายกับบุคคลในอุตสาหกรรมได้ โดยมีประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอิตาลี มาจัดแสดงในรูปแบบพาวิลเลียน และยังมีอีกกว่า 20 ประเทศเข้าร่วมงานด้วย
สำหรับจุดเด่นหลักของ Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ยังคงมุ่งเน้นไปที่เทรนด์ความงามที่สำคัญหลายด้าน เช่น อาหารเสริมความงาม ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น เพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 9% ภายในระยะเวลาเพียงสองปี และความงามทางการแพทย์ จากผลการวิจัยของธนาคารกรุงศรี พบว่าอุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มความงามทางการแพทย์ มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2025 โดยคาดว่าทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 5.5-7.0% และ 6.5-7.5% ตามลำดับ