HUMANITY

แอมเนสตี้เปิดรายงานสิทธิมนุษยชนโลก ประจำปี 67-68 ชี้ทั่วโลกยังเผชิญวิกฤตสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้เปิดรายงานสิทธิมนุษยชนโลก ประจำปี 67-68 ชี้ทั่วโลกยังเผชิญวิกฤตสิทธิมนุษยชน สงคราม เรียกร้องไทยปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปฏิรูปกฎหมายให้สอดคล้องหลักสากล

วันนี้ (29 เม.ย. 68) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2567/2568 ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพมหานคร

พุทธณี กางกั้น ประธานกรรมการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในทั่วโลกและเมียนมา เปิดเผยว่าปี 2567 เป็นปีที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ เนื่องจากโลกของเราเผชิญกับช่วงเวลาแห่งวิกฤตทั้งสงคราม วิกฤตสิ่งแวดล้อม และการพังทลายของระบบระหว่างประเทศ โดยการละเมิดสิทธิมนุษยชน แบ่งเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย

การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ พบว่ารัฐบาลมหาอำนาจขัดขวางการยุติการก่ออาชญากรรมต่อเนื่อง มีการก่ออาชญากรรมรุนแรงในฉนวนกาซา ในลักษณะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อิสราเอลละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง หรือในรัสเซียยังโจมตียูเครนต่อเนื่อง ในซูดานยังมีประชาชนนับล้านคนที่ได้รับผลกระทบ แต่กลไกการช่วยเหลือระหว่างประเทศยังล้มเหลวการกระทำและการเพิกเฉยของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และประเทศตะวันตกหลายแห่งได้ทำลายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างรุนแรง

แอมเนสตี้จึงเรียกร้องให้รัฐบาลร่วมกันปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อให้สมาชิกใช้วีโต้กีดกันอาชญากรรมก่อการร้าย และเพิ่มการช่วยเหลือมนุษยธรรมให้กับพลเรือนที่อยู่ในสถานการณ์สงครามและต้องการความช่วยเหลือ

ขณะที่การปราบปรามผู้เห็นต่าง พบว่าหลายประเทศใช้อำนาจรัฐในการจำกัดเสรีภาพ การแสดงออกและใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม เช่น การใช้ข้อหาก่อการร้าย หรือการใช้ข้อหาความเชื่ออันสุดโต่ง ยุบองค์การภาคประชาสังคมและพรรคการเมือง ปีที่ผ่านมามีนักข่าวถูกสังหารกว่า 124 คน 2 ใน 3 เป็นนักข่าวในพื้นที่ปาเลสไตน์

ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นปีที่อุณหภูมิร้อนมากที่สุด เกิดภัยพิบัติในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ประชาชนหลายล้านคนต้องอพยพแต่รัฐบาลหลายประเทศกลับมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจ และโครงการที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสิทธิมนุษยชน ประเทศรายได้น้อยมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ขณะที่งบด้านสาธารณสุขและการศึกษากลับน้อยลง

การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เพศ และกลุ่มประชาชนชายขอบในหลายประเทศ ผู้มีความหลากหลายทางเพศถูกกดขี่ สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ยังถูกจำกัด สุดท้ายคือ เทคโนโลยีและสิทธิมนุษยชน หลายประเทศทั่วโลกยังใช้สปายแวร์อย่างมิชอบ เช่น ประเทศไทย และอินโดนีเซีย ซึ่งยังไม่มีกฎหมายในการคุ้มครอง และโซเชียลมิเดียถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างความเกลียดชังโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน

ขณะที่สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมา 4 ปีหลังรัฐประหาร เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ในฐานะที่เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ฃเพราะยังมีการโจมตีทางอากาศมากขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และมีการข่มเหงพลเมือง

สถานการณ์ในเมียนมายังเป็นวิกฤติร้ายแรงที่สุดในภูมิภาคและของโลก กองทัพเมียนมาใช้อาวุธหนัก เช่น ระเบิดทางอากาศในพื้นที่ชนกลุ่มน้อย มีผู้พลัดถิ่นกว่า 3 ล้านคน และถูกสังหารกว่า 6,000 คนภายในหนึ่งปี โดยการโจมตีทางอากาศมักจะโจมตีไปที่วัด โบสถ์ โรงเรียน โรงพยาบาล และวัด ทั้งที่ไม่สามารถกระทำได้ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

กองทัพเมียนมายังก่อนอาชญากรรมเป็นระบบโดยเฉพาะในพื้นที่ชนกลุ่มน้อย มีการสังหารหมู่และการข่มขืนโดยไม่มีการรับผิดชอบใด ๆ ชาวโรฮิงญายังคงถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐาน ถูกผลักดันออกนอกประเทศ ถูกควบคุมตัวในค่ายที่ไร้มนุษยธรรม ขณะที่ภาคธุรกิจยังมีการสนับสนุนส่งเสริมเชื้อเพลิงท่าอากาศยาน และมีความซับซ้อนในการจัดส่งพลังงานและอาวุธผ่านประเทศรอบข้างในภูมิภาค ทั้งนี้ประเทศไทยยังมีบทบาทเพิกเฉยต่ออาชญากรรมในเมียนมา

“ขอย้ำว่าการล่มสลายของระบบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายังเห็นการต่อต้านที่เกิดขึ้นทั่วโลก เชื่อว่าผู้คนยังยืนหยัดเรียกร้องต่อการถูกละเมิดสิทธิ เรายังมีพลังมากพอที่จะต่อกรกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชน” พุทธิณี ทิ้งท้าย

นายชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีความก้าวหน้าในบางส่วน โดยเฉพาะในประเด็นสิทธิในการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ตั้งแต่การเพิ่มระดับการคุ้มครองสิทธิในด้านต่าง ๆ ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในไทย ญี่ปุ่น และเกาหลี ไปจนถึงการรับรองให้ชนเผ่าพื้นเมืองในไต้หวันให้สามารถใช้ชื่อดั้งเดิมของตนในเอกสารราชการได้

แต่ยังพบปัญหาอีกหลายด้านโดยในบริบทของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อันประกอบไปด้วยลาว เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มที่น่ากังวล ซึ่งในขณะที่มีกลุ่มทุนหลั่งไหลเข้าไปริเริ่มโครงการพัฒนาและธุรกิจต่าง ๆ ประเทศเหล่านี้กลับยังขาดธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน อันนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ตั้งแต่การไล่รื้อที่ชาวบ้านที่นครวัด ไปจนถึงการค้ามนุษย์

อีกทั้งรัฐบาลล้วนไม่เปิดรับการวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ และอาศัยแนวทางการลงโทษนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือโครงการพัฒนาต่าง ๆ เช่น ทางการกัมพูชาได้ออกมาจับกุมบุคคลอย่างน้อย 94 คน โดยพลการ เนื่องจากได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์โครงการ “เขตสามเหลี่ยมเพื่อการพัฒนากัมพูชา-ลาว-เวียดนาม” และอย่างน้อย 21 คน ในข้อหายุยงให้มีการกระทำผิดอาญาร้ายแรง และมีผู้ถูกดำเนินคดีอย่างน้อย 33 คนในข้อหาวางแผนต่อการละเมิดต่อรัฐและยุยงปลุกปั่น นอกจากนี้ ผู้คนต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศแบบสุดโต่งและมลพิษทางอากาศจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่กลับกลายเป็นว่านักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งภูมิภาคยังคงถูกประหัตประหารอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงผู้สื่อข่าว ‘เมจ ดารา’ ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากผลงานสืบสวนด้านการทุจริตและการรรายงานเกี่ยวกับ “แคมป์สแกมเมอร์” ในกัมพูชา ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีรายงานการค้ามนุษย์และการทรมานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถูกดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น

ในส่วนของประเทศลาว สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบยังถูกจำกัด ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิ สิทธิเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบตกเป็นเป้าหมายของการจับกลุ่มและควบคุมตัวโดยพลการ

ในด้านเสรีภาพในการนับถือศาสนาความเชื่อ กลุ่มชาวคริสต์ที่ไม่ได้จดทะเบียนต้องเผชิญกับการประหัตประหาร โดยได้ทำลายโบสถ์คริสต์หลังหนึ่งและเผาหนังสือศาสนาก่อนจะเกิดการโจมตี แต่เรื่องเงียบไม่มีการสืบสวนสอบสวนต่อ

สิทธิด้านประกันสังคมถูกตัดลดงบประมาณด้านการคุ้มครองทางสังคม ด้านสุขภาพ การศึกษา และบริการทางสังคมอื่น ๆ แต่ก็ไม่เปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์ และการค้ามนุษย์ ซึ่งมีความน่ากังวลว่ากำลังเป็นประเทศที่เป็นทางผ่านและเป็นจุดหมายของการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศและการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มสแกมเมอร์ออนไลน์ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งควรมีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาและปรับปรุงปัญหาดังกล่าวนี้ต่อไป

“รัฐบาลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร่วมมือระหว่างประเทศในการยุติการกดปราบ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนไม่ใช่มุ่งเน้นทำลาย” ชนาธิป ทิ้งท้าย

ด้าน นายบัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง แม้จะจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายบางด้าน แต่ภาพรวมยังสะท้อนถึงโครงสร้างที่จำกัดพื้นที่ของภาคประชาสังคม และการให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเพียงพอ เช่น การต้อนรับผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งจะเป็นการสร้างความสงสัยและเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยหรือไม่ และการออกหมายจับนักวิชาการต่างชาติในคดีมาตรา 112

ปัจจุบันประเทศไทยมีความก้าวหน้าในบางด้าน เช่น การที่รัฐสภาผ่านกฎหมายเท่าเทียม แต่ก็ยังมีความท้าทายในเรื่องของด้านสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศแต่ยังพบนัก ปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ยังคงตกเป็นเป้าหมายของการสอดแนม การคุกคามทางดิจิทัล และการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เห็นรูปแบบของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านเทคโนโลยีกับกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งควรเป็นนโยบายเพื่อนำไปสู่การปกป้องต่อไป รวมถึงการเปิดเผยเอกสารของกองทัพไทยที่ชี้ถึงปฏิบัติการ “ทีมไซเบอร์” ที่คอยติดตามการทำงานของภาคประชาสังคม

ทางการยังคงจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ โดยปัจจุบันพบว่ามีประชาชนอย่างน้อย 1,960 คน ถูกดำเนินคดีจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ระหว่างปี 2563-2567 และมีอย่างน้อยสามคนที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ รวมถึงมีผู้ถูกดำเนินคดีที่เพิ่มขึ้น โดยบุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีข้อหาในความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานยุยงปลุกปั่น และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เช่น กรณีการเสียชีวิตของ ‘บุ้ง เนติพร’ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง

ในส่วนของเรื่องสิทธิของผู้ผลิตภายในผู้ให้ถิ่นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมไปถึงสิทธิของเผ่าพื้นเมืองที่มีมีแนวโน้มทับซ้อนพื้นที่ที่อยู่อาศัยเดิม ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลจัดให้มีการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตามกลุ่มภาคประชาสังคมคัดค้านทางกฎหมายดังกล่าว สืบเนื่องจากมีความกังวลว่ามาตรการบางอย่างอาจนำไปสู่การขับไล่ชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนอื่น ๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินที่จะใช้ทำโครงการเหล่านี้ จนถึงสิ้นปีที่ผ่านมายังคงมีการออกเสียงรับรองร่างกฎหมายดังกล่าว

“เราขอเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ฟังเสียงของประชาชน ยุติการกดขี่ และปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกมิติ เพราะสิทธินุชนไม่ใช่เพียงหลักการที่ถูกเขียนไว้ แต่คือชีวิต ความหวัง และอนาคตของผู้คนทั่วโลก” บัญชา ทิ้งท้าย

ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มีข้อเสนอแนะถึงทางการไทย ดังนี้

1.ยุติการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมประท้วงโดยสงบ และปรับกระบวนการประกันตัวให้สอดคล้องกังหลักสิทธิมนุษยชน

2.ปฏิรูปร่างกฎหมายให้คุ้มครองสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และยกเลิกข้อจำกัดเลือกปฏิบัติทางเพศ

3.ปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการคุกคามโดยรัฐและเอกชน

4.สอบสวนการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม และยุติการลอยนวลพ้นผิด

5.แก้ไขกฎหมายต่อต้านการทรมานและการบังคับให้สูญหายให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ

6.รับรองสิทธิในการสี้ภัยและไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิ

7.เคารพและส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในที่ดิน วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ

Related Posts

Send this to a friend