HUMANITY

‘สิตานัน’ เผยไม่พิมพ์ลายนิ้วมือให้ตำรวจ ประท้วงคดี ‘วันเฉลิม’ 2 ปีไม่คืบหน้า

‘สิตานัน’ เผยไม่พิมพ์ลายนิ้วมือให้ตำรวจ เพื่อประท้วงคดี ‘วันเฉลิม’ ไม่คืบหน้ามา 2 ปี ด้านทนายรอเจรจา สน.นางเลิ้ง เปรียบเทียบปรับ ยุติคดีเรียกร้องบุคคลสูญหายหน้ายูเอ็น

วันนี้ (5 ต.ค. 65) นางสาวสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พร้อม นายปรีดา นาคผิว ทนายความจากภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบพนักงานอัยการ ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (ดุสิต) ตามนัดหมายเพื่อเปรียบเทียบปรับ ในคดีที่นางสาวสิตานันต้องตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ภายหลังพนักงานอัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจากการที่นางสาวสิตานันปฏิเสธการพิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว

สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องจาก นางสาวสิตานันถูกพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง แจ้งข้อหาชุมนุมโดยฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เหตุร่วมกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวในวันที่ 10 ธ.ค. 64 เข้ายื่นหนังสือหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทยเพื่อยื่นร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในวันสิทธิมนุษยชนสากล และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องชาย รวมถึงเหยื่อจากการบังคับสูญหายอื่นๆ

ต่อมา ในวันที่ 21 ก.พ. 65 นางสาวสิตานันจึงได้เข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนและให้ความร่วมมืออย่างดีในการให้ข้อมูลตามบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนราษฎร ภาพถ่ายใบหน้า และหลักฐานอื่นๆ เพื่ออำนวยให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่ปฏิเสธการพิมพ์ลายนิ้วมือเนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้รับหลักฐานครบถ้วนพอที่จะยืนยันตัวตนได้ชัดเจนแล้ว อีกทั้งเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงเอกสารเกี่ยวกับประวัติอาชญากรได้ทางเว็บไซต์ของกองทะเบียนประวัติอาชญากร โดยไม่จำเป็นต้องใช้ลายพิมพ์นิ้วมือ จึงมองว่าการพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายเกินความจำเป็น และไม่มีเจตนาขัดคำสั่งเจ้าพนักงานแต่อย่างใด

ภายหลังจากเข้าพบพนักงานอัยการ นายปรีดา ทนายความ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว The Reporters ว่า ข้อหาในคดีนี้คือขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ซึ่งมาตราดังกล่าวมีข้อยกเว้นความผิดเมื่อมีเหตุอันควร ขณะนั้นเราเองก็ยืนยันว่ามีเหตุอันควรในการปฏิเสธพิมพ์ลายนิ้วมือ เนื่องจากพนักงานสอบสวนสามารถเข้าถึงระบบตรวจสอบประวัติอาชญากรได้โดยไม่ต้องใช้ลายนิ้วมือ เราจึงเข้าระบบเองแล้วพิมพ์สำเนาออกมายื่นให้พนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนก็ยืนยันดำเนินคดีเนื่องจากการไม่พิมพ์ลายนิ้วมือนั้น ไม่เป็นไปตามกระบวนการสอบสวนที่เคยทำมา

“พฤติการณ์ทั้งหลายของคุณสิตานัน ไม่ได้ทำความผิดหลักสิทธิเสรีภาพ หลักเรียกร้องสิทธิ ชอบตามรัฐธรรมนูญ สมควรจะปรับปรุงเสีย จึงเรียกร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยว่ามันมีวิธีอื่นที่จะเข้าถึงการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมได้โดยไม่ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งเลอะเทอะและเป็นภาษีประชาชน” นายปรีดา กล่าว

นางสาวสิตานัน กล่าวยืนยันถึงเจตนาว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในฐานะผู้เสียหายกรณีน้องวันเฉลิมคือ เราไม่เคยได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมเลย เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราแสดงออกและเรียกร้องนั้นไม่ได้ผิด แต่เขายังปิดปากและยัดเยียดข้อกล่าวหามาให้เรา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีอำนาจเหนือกว่าเรา

“สิ่งที่เขาทำไม่ถูกต้องเลยสักอย่างเดียว แทนที่เขาจะไปสืบสวนสอบสวนน้องชายพี่ แต่กลับมาสืบสวนสอบสวนเราแทน เลยทำให้รู้ว่า ไม่มีความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมไทยเลย ให้กับญาติผู้เสียหายหรือผู้สูญเสีย ดังนั้น สิ่งที่พี่ทำมันแสดงให้เห็นว่าเราประท้วงกระบวนการยุติธรรมไทย ให้เขารับรู้ว่าเราไม่ยอมกับสิ่งที่เขาทำกับพวกเรา” พี่สาวนายวันเฉลิม กล่าว

นางสาวสิตานัน ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าของคดีนายวันเฉลิมว่า ยังไม่มีวี่แววจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนเลย แม้แต่สำนักงานอัยการสูงสุดที่มีหน้าที่รับผิดชอบคดีโดยตรง ก็ไม่เคยติดต่อเรามาเลย ทั้งที่ห่างกันแค่ช่วงตึกที่ดำเนินคดีกันเท่านั้น

“คนไทย คนตัวเล็ก ตัวน้อย อย่างเราจะได้รับความเป็นธรรมบ้างไหม … เห้อ ความยุติธรรมไทย มันไม่ได้มีให้สำหรับพวกเรา มันมีให้สำหรับคนบางกลุ่มอย่างที่เราเห็นกัน” นางสาวสิตานัน กล่าว

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ด้านหน้าสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (ดุสิต) ยังมีเจ้าหน้าที่จาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ร่วมให้กำลังใจนางสาวสิตานันในวันนี้ด้วย โดย นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ฯ กล่าวว่า พี่เจนเป็นหนึ่งในกรณีปฏิบัติการด่วนที่แอมเนสตี้ใช้ในการรณรงค์ทั่วโลก มันไม่มีใครต้องโดนคดีในการใช้สิทธิแสดงออก ถึงเวลาแล้วหากประเทศไทยต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคมโลก ก็ควรปฏิบัติตามหลักสากล

“จึงขอเรียกร้องความยุติธรรมให้คุณสิตานัน จากพี่สาวของน้องชายที่หายไป กลายเป็นคนที่ถูกรังแก” นางปิยนุช กล่าว

ทั้งนี้ ความคืบหน้าของคดีในวันนี้ จึงต้องรอทางพนักงานอัยการส่งสำนวนกลับไปยังพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ก่อนที่ทนายความจะเข้าเจรจากับพนักงานสอบสวนถึงการเปรียบเทียบปรับ เพื่อยุติการดำเนินคดีในข้อหาลหุโทษครั้งนี้ไม่ให้ยืดเยื้ออีกต่อไป

Related Posts

Send this to a friend