ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ร้อง รมต.อนุชา ขอระงับเอกชนปิดเส้นทางเข้าโรงเรียน
ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ร้องรัฐมนตรี ‘อนุชา นาคาศัย’ ขอระงับเอกชนปิดเส้นทางเข้าโรงเรียน ให้เวลารัฐบาล 30 วันแก้ปัญหาที่ดิน หากไม่คืบหน้าจะไปทวงถามที่ทำเนียบรัฐบาล 15 ม.ค.66
ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ร้องรัฐมนตรี ‘อนุชา นาคาศัย’ ขอระงับเอกชนปิดเส้นทางเข้าโรงเรียน ให้เวลารัฐบาล 30 วันแก้ปัญหาที่ดิน หากไม่คืบหน้าจะไปทวงถามที่ทำเนียบรัฐบาล 15 ม.ค.66
วันนี้ (14 ธ.ค. 65) ระหว่างการลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล ของนาย ธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุชา นาคาศัย เพื่อติดตามปัญหาการปิดกั้นเส้นทางสาธารณะประโยชน์ ชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้ยื่นหนังสือถึง นายอนุชา ในฐานะ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง เนื่องจากชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนอย่างรุนแรงจากกรณีการซื้อขายที่ดินของผู้ที่ครอบครองเอกสาร น.ส.3 เลขที่ 11 ได้ทำการขายที่ดินจากเอกสารในแปลงดังกล่าวให้กับเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งพยายามเข้าครอบครองที่ดิน ที่เป็นบ้านชาวบ้านโดยมีการเข้ามาในพื้นที่ชุมชนและรังวัดที่ดินทับที่ดินบ้านชาวเลรวมทั้งเส้นทางสัญจรต่างๆในชุมชน
และที่สำคัญที่สุด เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เวลา15.00 น. เอกชนรายนี้ได้ให้ลูกน้องมาเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรที่เป็นทางดั้งเดิมตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2452 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันชาวเลใช้เป็นเส้นทางสัญจรในการให้นักเรียนเดินเข้าโรงเรียน ทางสัญจรเข้าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเกาะหลีเป๊ะ ทางสัญจรเข้าสุสานชุมชนชาวเล ทางสัญจรแห่พิธีกรรมในประเพณีลอยเรือ ทางสัญจรในการออกสู่ทะเลเพื่อประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นทางเดินของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ ทำให้นักเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จำนวนกว่า 1,000 คน ต้องปีนรั้วเพื่อสัญจรซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียของจังหวัดสตูลและประเทศไทยอย่างมาก
ทั้งนี้ชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะมีความเดือดร้อนที่สุดจึงได้รวมกลุ่มคัดค้านแต่ไม่เป็นผล และร้องเรียนไปยังอำเภอส่วนหน้าเกาะหลีเป๊ะได้พยายามเจรจาก็ไม่เป็นผล จนปัจจุบันมีการปะทะด้วยวาจาพร้อมทั้งเอกชนข่มขู่ชาวเลตลอดมาและพยายามสร้างรั้วปิดตลอด
จนล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 เอกชนรายนี้ได้พยายามมาปิดเส้นทาง ล้อมทางเข้าออกอีกครั้ง จนกระทบกระทั่งกับเด็กๆนักเรียนโรงเรียนเกาะหลีเป๊ะตามข่าว ทำให้ชาวเลเกรงว่าการกระทำของเอกชน จะนำไปสู่ความรุนแรงในอนาคตได้ และเอกชนจะมาสร้างรั้วปิดกั้นจนไม่สามารถสัญจรได้
ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ระบุว่า ที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะผ่านกระบวนการตรวจสอบของรัฐบาลมาแล้ว ทั้งกรรมการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณของสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ก็เคยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้วครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็เคยตรวจสอบมาแล้วทั้งชุดที่ 1 ชุดที่ 3 และชุดปัจจุบันมีความเห็นตรงกันคือ เอกสารบนเกาะหลีเป๊ะซึ่งเป็นสิทธิดั้งเดิมของชาวเลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่นำชาวเลมาจากเกาะลันตา เพื่อชี้เขตแดนประเทศไทยในขณะนั้น สิทธิจึงเกิดตาม พรบ.การออกโฉนดที่ดิน ฉบับที่๖ พ.ศ.2479 แล้ว แม้ไม่แจ้งการครอบครองและยังใช้ประโยชน์ก็ไม่เสียสิทธิในที่ดิน ต่อมา พ.ศ. 2498 มีการแจ้ง ส.ค.1 โดยตัวแทนชาวเล รวม 41 แปลง พบว่าเมื่อเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ชื่อกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ถูกเปลี่ยนชื่อไปเกือบทั้งหมด และเป็นคนที่ไม่ใช่ชาวเล รวมทั้งการทำแผนที่แนวเขตที่ดินของกรรมการชุดต่างๆ พบว่าที่ดินบางแปลงซ้อนทับกัน เกือบทุกแปลงออกทับเส้นทางสาธารณะ ทางน้ำสาธารณะ บึงน้ำสาธารณะ เกือบทั้งเกาะ ทั้งที่เส้นทางยังใช้ประโยชน์ร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องกว่า 100 ปี
ดังนั้นเพื่อดำรงความเป็นธรรม ป้องกันการละเมิดสิทธิชุมชนดั้งเดิมและเพื่อเป็นการป้องกันความขัดแย้ง ลดความรุนแรง และคุ้มครองชุมชนดั้งเดิมจึงมีข้อเสนอดังนี้
1.ให้รัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ทางสาธารณะ และเร่งการสอบสวนเกี่ยวกับการบุกรุกที่หรือทางสาธารณประโยชน์ และหาแนวทางในการยุติความขัดแย้งและเปิดทางสาธารณะให้ชาวเลสัญจรได้เป็นการชั่วคราวจนกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ โดยไม่ปล่อยปละละเลย
2.เนื่องจากกรณีปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้น มีมูลเหตุและเกี่ยวข้องกับขบวนการออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่โดยมิชอบ ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการปล่อยปละละเลยในอดีต จึงขอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ โดยมีองค์ประกอบที่มาจากกรรมการที่เคยดำเนินการในอดีต และหลากหลายหน่วยงาน เช่น DSI และตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน ขอให้รัฐบาลดำเนินการลงโทษทางวินัยและอาญาจนถึงที่สุด ตลอดจนเร่งรัดการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้งโดยเร่งด่วนต่อไป
3.จากกรณีปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์บนเกาะหลีเป๊ะดังกล่าว น่าเชื่อว่ามีผู้มีอิทธิพล ขบวนการค้ามนุษย์ และการฟอกเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงขอให้รัฐบาลสั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เร่งปราบปรามผู้มีอิทธิพลในเกาะหลีเปะอย่างจริงจัง พร้อมดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้องและให้การสนับสนุนในกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ ดังกล่าว หากพบว่าบุคคลใดเกี่ยวข้องขอให้ดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดต่อไป
4.ให้รัฐบาลสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม เข้าให้ความช่วยเหลือ ทั้งกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กองทุนยุติธรรม และDSI เข้าร่วม สนับสนุน ช่วยเหลือชาวเลในการค้นหาความจริง การปกป้องคุ้มครองสิทธิ์ และช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรม อย่างเร่งด่วน
5.ขอให้อำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ทับทางสาธารณะ ตาม ม.61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดยต้องสอบสวนให้ได้ข้อยุติโดยเร็วภายใน 30 วัน หากไม่ดำเนินการซึ่งผลการตรวจสอบของกรรมการและหน่วยงานต่างๆชี้ชัดแล้วว่าเอกสารออกทับทางสาธารณะ คลองสาธารณะ หากไม่เริ่มดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอน ให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ชาวเล เรียกร้องให้มีการนำเรื่องนี้ให้ นายกรัฐมนตรี ทราบต่อไป โดยชาวเลเกาะหลีเป๊ะจะรอความคืบหน้าใน 30 วัน หากไม่มีผลความคืบหน้าในการแก้ปัญหาแจ้งเป็นลาบลักษณ์อักษร ชาวเลจะไปพบนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 มกราคม 2565 และรอจนกว่าจะแก้ปัญหาแล้วเสร็จ
นาย ธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุชา นาคาศัย เปิดเผยว่าหลังการลงพื้นที่แล้วทำให้เข้าใจสภาพปัญหามากขึ้น และวันพรุ่งนี้ นายอนุชา จะลงพื้นที่ด้วยตนเอง ก่อนจะประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงถ้าคู่พิพาทอยากมาชี้แจง ก็ควรมาพูดคุยกัน ส่วนแนวทางการแก้ปัญหา จะมีระดับต้นกรณีมีการปิดกั้น ทำถนนให้ไม่เกิดความสะดวกสบายกับประชาชน ต้องดุแล ส่วนปัญหาเอกสารสิทธิ์ ต้องมีการตรวจสอบเอกสาร และช่วยกันดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย
นางแสงโสม หาญทะเล ตัวแทนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ พอใจการลงพื้นที่ของคณะเลขานุการรัฐมนตรีวันนี้ ถือเป็นบันได้ขั้นที่ 1 ในการแก้ปัญหาให้ชาวเลหลีเป็ะ และหวังว่าการลงพื้นที่ของนายอนุชา วันพรุ่งนี้จะเป็นบันไดขั้นที่ 2 ของการแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปี ส่วนเรื่องเร่งด่วน ต้องระงับการปิดเส้นทาง ต้องการให้เปิดเส้นทางที่เด็กเข้าโรงเรียน ระยะกลาง ต้องการให้ตรวจสอบเส้นทาง ร่องน้ำ และที่ดิน มีการออก ครอบครองถูกต้องหรือไม่ ระยะยาว อยากให้แก้ปัญหาวิถีชีวิตชาวเลทั้งระบบบ จัดผังเกาะหลีเป๊ะให้สวยงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ จึง อยากให้เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว
“ชาวเลพร้อมจะพูดคุยและเจรจา แต่ต้องมีส่วนกลางที่มีอำนาจตัดสินใจเป็นประธานในการแก้ไขปัญหา น่าจะเป็นทางออกที่ดี ทั้งผู้ประกอบการ และชาวเล ร่วมแก้ปัญหา อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้” นางแสงโสมกล่าว
นางแสงโสม ระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ไม่ได้ติดต่อสื่อสารหรือได้รับความสนใจมากมาย คนมาเที่ยวก็ อาจไม่รู้จักชาวอูรักลาโว้ย ซึ่งเป็นคนดั้งเดิมที่ปักเขตแดนเกาะหลีเป๊ะในแผ่นดินสยาม จากผู้บุกเบิกมากลายเป็นผู้บุกรุกในแผ่นดินบ้านเกิดก็ช้ำใจ จึงฝากให้ประชาชนช่วยกันติดตาม ส่งเสริมแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะในรูบแปปใดก็ตาม