กรมการแพทย์ แนะผู้ปกครองชวนบุตรหลานออกกำลังกาย เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
วันนี้ (27 ม.ค. 66) นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ล่าสุดออกคำแนะนำ พ่อแม่ผู้ปกครอง ชักชวนบุตรหลานออกกำลังกาย เสริมสร้างกล้ามเนื้อตามช่วงวัยให้แข็งแรง เป็นเกราะภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ
นายแพทย์วีรวุฒิ กล่าวว่า “การส่งเสริมหรือปลูกฝังให้เด็กๆหันมาออกกำลังกาย และสอนให้เด็กออกกำลังกายที่เหมาะสม กับวัยจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโต มีทักษะและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ไม่หมกหมุ่นกับการดูโทรศัพท์ หรือเล่นเกมส์มากเกินไป ธรรมชาติของวัยเด็กเป็นวัยที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย และมีความอยากรู้อยากเห็น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆรอบตัว ปัจจุบันมีโทคโนโลยีใหม่ๆมาดึงเวลาของเด็กๆไป ทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย และขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม เลยทำให้การเจริญเติบโตผิดปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพไม่แข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ”
ด้านนายแพทย์อัครฐาน กล่าวว่า “การส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกายนั้น ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องสำหรับการออกกำลังกายในแต่ละช่วงวัย ก่อนออกกำลังกายจะต้องมีการวอร์มร่างกาย ให้พร้อมทุกครั้ง (Warm up) และเมื่อออกกำลังกายเรียบร้อยร้อย ก็จะต้องมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายทุกครั้งเช่นกัน (Cool down) เพื่อลดการบาดเจ็บ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ ยกตัวอย่างเช่น การยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหวก่อนการวิ่ง ขณะวิ่งต้องมีการงอสะโพก งอขา เหยียดสะโพก กระดกข้อเท้า ดังนั้นการวอร์มอัพแบบเคลื่อนไหว คือ การเตะลม โดยให้เข่าเหยียด เตะลมไปให้ขาแกว่งไกลที่สุด หรือขาแกว่งให้สูงที่สุด
จะสังเกตได้จากความรู้สึกถึงอุณหภูมิในกล้ามเนื้อและร่างกายที่เริ่มสูงขึ้น โดยการเอามือสัมผัสไปที่กล้ามเนื้อเหล่านั้น จนรู้สึกถึงความอุ่นที่เกิดขึ้น ซึ่งการวอร์มอัพเหล่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อ ไม่ถูกยืดออกมากเกินไป และยังสามารถสร้างแรงรองรับการออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม ส่วนการ Cool down ที่เพียงพอจะช่วยลดโอกาสหน้ามืด หรือภาวะความดันโลหิตต่ำลงหลังออกกำลังกาย ซึ่งเกิดเนื่องจากขณะออกกำลังกายนั้นร่างกายจะมีอุณภูมิสูงขึ้น การไหลของเลือดจะไปอยู่ที่บริเวณเส้นเลือดส่วนปลาย หรือบริเวณเท้ากับขาค่อนข้างมาก ทำให้เลือดที่ไหลกลับมายังหัวใจมีปริมาณลดลง นำไปสู่อาการหน้ามืด ดังนั้นจึงค่อยๆลดระดับความหนัก ของการออกกำลังกายลงช้าๆ 5-10 นาที จนกระทั่งอุณภูมิของเซลล์กล้ามเนื้อค่อยๆลดลง”
สำหรับการออกกำลังกายในเด็ก สามารถแบ่งตามช่วงวัยได้ดังนี้ เด็กปฐมวัย อายุ 2-6 ขวบ ควรให้ออกกำลังกาย ในรูปแบบการละเล่น เช่น วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน หรือกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อเพิ่มทักษะในด้าน IQ และ EQ เด็กวัยประถม อายุ 7-12 ขวบ ควรให้ออกกำลังกาย ในรูปแบบของกีฬาที่มีแรงกระแทก เพื่อเพิ่มความแข็งและความยืดหยุ่น ให้แก่กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ เช่น ฟุตบอล กระโดดเชือก ว่ายน้ำ เด็กวัยรุ่น อายุ 13-18 ขวบ ควรให้ออกกำลังกาย ในรูปแบบกีฬาหรือกิจกรรมเป็นทีม บาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น ที่มีกฎกติกาเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาทักษะ ร่างกายและจิตใจ และที่สำคัญที่สุดควรดื่มน้ำสะอาด ให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อทดแทนน้ำที่เสียไประหว่างวัน สำหรับการออกกำลังกายในเด็กป่วย ควรอยู่ในความดูแล และคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ












