HEALTH

จุฬาฯ ชวนคนไทยลดกินหวาน จับมือสตาร์ทอัปสร้าง LINE OA ดูแลและคุมอาหารผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ศ.นพ.ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดีจุฬาฯ เป็นประธานในงานเสวนาวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 16 พร้อมเปิดโครงการรณรงค์ หวานน้อยลงหน่อย ทั้งนี้เพื่อชวนคุมอาหารทันที เนื่องจากเป็นห่วงคนไทยกว่า 4 ล้านคนป่วยเบาหวาน พร้อมกันนี้ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “พัฒนาแพลตฟอร์มการแพทย์แม่นยำแบบบูรณาการ เพื่อการป้องกัน วินิจฉัย และรักษาโรคเบาหวาน” ร่วมกับภาคีเครือข่าย เครือข่ายสตาร์ทอัพ เร่งสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มการแพทย์แม่นยำ เสริมภารกิจกรมควบคุมโรค เพื่อดูแลและติดตามผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่าง LINE Official “หวานน้อยลงหน่อย”

ทั้งนี้ภายในงานมีผู้ร่วมเสวนา อาทิ ทพญ.ดร.ศิริวรรณ ทิพยรังสฤษฏ์ รองผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข , ศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ อุปนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูถัมภ์, ดร.วรกันต์ บูรพาธนะ Head of Technology & Innovation บริษัท อินโนบิค เอเชีย จำกัด , รศ.ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวช คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ,ผศ.ดร.สถาพร งามอุโฆษ อาจารย์ภาควิชาโภชนาการ และการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ และ CEO & Co-founder บริษัท ทานดี อินโนฟูด จำกัด

ศ.นพ.ดร.นรินทร์ กล่าวว่า “ จุฬาฯ มีเป้าหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืน หนึ่งในยุทธศาสตร์ของจุฬาฯ มุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพ เพราะเราเล็งเห็นถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับประชาคมจุฬาฯ อย่าง “โรคเบาหวาน” สถานการณ์น้ำหนักโดยรวมของประชาคม น้ำหนักเกินเกณฑ์ปกติกว่า 40 ตัน น้ำหนักเกินเฉลี่ยคนละ 5.2 กิโลกรัม และเมื่อลงลึกในสถิติมีผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากกรณีศึกษาของโรคโควิด-19 เป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการด้านสุขภาวะที่ประสบความสำเร็จ โดยอาศัยความร่วมมือกันในหลายภาคส่วน ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วด้วย Rapid Antigen Test “กล่องรอดตาย” และระบบดูแลผู้ป่วย Home isolation นำแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วย ที่เป็นนิสิต คณาจารย์ บุคลากร และครอบครัวให้หายจากโควิด-19 ในสถานการณ์ที่โรงพยาบาล ไม่มีเตียงรองรับเพียงพอ โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ รวมถึงการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของจุฬาฯ และการจัดตั้งศูนย์บริการวัคซีนจุฬาฯ การดูแลด้านสุขภาวะในเรื่อง “โรคเบาหวาน” ก็เช่นกัน จำเป็นต้องได้รับการร่วมมือและนำนวัตกรรมต่างๆ จากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะเป็นประโยชน์ ต่อประชาชนคนไทยในวงกว้าง”

ศ.นพ.กำธร กล่าวว่า “ความสำเร็จของการดำเนินงาน “กล่องรอดตาย” ทำให้มีผู้ป่วยเข้าลงทะเบียนในระบบประมาณ 85,000 คน อัตราการเสียชีวิตที่บ้าน 0% เวลาตอบสนองที่รวดเร็วเพียง 45 นาที เวลาตอบสนอง 6 ชม. ลด Admission ที่ไม่จำเป็น 83.3% ประหยัดงบประมาณของรัฐได้ถึง 29,000 บาทต่อคน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยได้อาสาสมัครเครือข่าย 400 คน มีทุกกลุ่มอายุและความเชี่ยวชาญ และมี International Ward ที่ได้นิสิตต่างชาติของจุฬาฯ มาเป็นอาสาสมัครในการประสานงาน ตลอดจนมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วในพื้นที่ และมีคณะนักวิจัยจาก Bill & Melinda Gates Institute, Johns Hopkins University สหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงาน ทำให้เป็นแม่แบบสำคัญ ในการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มการแพทย์แม่นยำ ในการป้องกัน วินิจฉัย และรักษา “โรคเบาหวาน” ในครั้งนี้”

ด้าน ศ.ดร.สุพจน์ กล่าวว่า “ทุกท่านล้วนเป็นภาคีเครือข่าย ที่ผนึกกำลังทำภารกิจสำคัญระดับชาติและนานาชาติกับจุฬาฯ ด้วยกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเจ็บป่วย ของพี่น้องคนไทย ซึ่งชาวจุฬาฯ และภาคีเครือข่ายต้องมาขบคิดกันหาทาง แบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ขออาสาเป็นอีกแรงหนึ่งในภารกิจครั้งนี้ จากการที่คณะฯ มีศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวช ที่กำลังทำงานวิจัยและสร้างนวัตกรรมด้าน Biomedical Engineering อย่างขะมักเขม้น การผนึกกำลังกันข้ามคณะ ทำงานแบบสหศาสตร์หลายสาขา มุ่งสร้างภาคีเครือข่าย จะเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งที่สำคัญ ที่อยากให้ทุกท่านติดตามและเป็นกำลังใจให้คณาจารย์และนักวิจัยกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ที่พร้อมพัฒนางาน ที่มีความหมายตอบโจทย์ความต้องการของสังคม เมื่อสังคมมีปัญหา จุฬาฯ มีคำตอบ” นั่นคือการสร้าง “Innovations” และเป็น “Innovations for Society”

รศ.ดร.จุฑามาศ กล่าวว่า “เรามีพันธกิจสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ นำออกมารับใช้สังคมด้วยงานวิจัยหลากหลายสาขา ทั้งด้านอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ อวัยวะเทียม ระบบนำส่งยา และชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) เพื่อให้การรักษาและป้องกันโรค มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ศูนย์วิจัยของเราให้ความสนใจกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ที่คุกคามสุขภาวะคนทั่วโลก คือโรคเบาหวานซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆอีกมาก เราจึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มการแพทย์แม่นยำแบบบูรณาการ เพื่อการป้องกัน วินิจฉัย และรักษาโรคเบาหวานที่ครอบคลุมระบบ Telemedicine, Non-invasive optical fiber sensor ตรวจคัดกรองผู้เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจากสารบ่งชี้ในลมหายใจ Bioinformatics and AI รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรม และการรักษาผู้ป่วย และนวัตกรรมในการรักษาโรค ทั้งระบบนำส่งอิซูลิน แผ่นปิดแผล และแผ่นรองรองเท้าลดแผลกดทับที่จะนำไปสู่การรักษา ที่แม่นยำเฉพาะบุคคลและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานและกลุ่มเสี่ยง เสริมภารกิจ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้เต็มรูปแบบแล้วเสร็จภายในปี 2570”

ทางด้าน ผศ.ดร.สถาพร กล่าวว่า “แนวทางการใช้โภชนบำบัด มาบูรณาการเป็นแนวทางรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยนักกำหนดอาหารจะทำงาน ร่วมกับทีมแพทย์จำแนกกลุ่มผู้ป่วยตามการ แปลผลระดับน้ำตาลในเลือด และจะจัดสรรวัตถุดิบนำนวัตกรรมอาหารเส้นโปรตีนไข่ขาว ไร้แป้ง Eggday (เอ้กกี้เดย์) ที่ได้รับอนุสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา มาใช้เป็นโซลูชั่นออกแบบเมนูอาหาร สำหรับผู้ป่วยมากกว่า 30 เมนู ตามหลัก 3 ใช่ ห่างไกล “เบาหวาน” ได้แก่ ปริมาณที่ใช่ เมนูที่ใช่ และส่วนผสมที่ใช่ โดยนำมาใช้บนระบบ LINE Official “หวานน้อยลงหน่อย” เพื่อดูแล ติดตาม และเข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถแอดไลน์เข้าสู่ระบบได้โดยคลิกที่ลิงค์ https://lin.ee/scwioDB

Related Posts

Send this to a friend