HEALTH

เตือน ภาวะเส้นเลือดฝอยอักเสบ โรคผิวหนังที่มาพร้อม ผื่น ตุ่มแดง ตุ่มหนอง

เสี่ยงพบอาการโรคอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หากพบความผิดปกติที่ผิวหนังรีบพบแพทย์

วันนี้ (12 ก.ค. 66) นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ สร้างความรู้ความเข้าใจประชาชน เกี่ยวกับภาวะเส้นเลือดฝอยอักเสบที่ผิวหนัง โดยพบในวัยผู้ใหญ่ร้อยละ 90 ซึ่งมากกว่าวัยอื่นๆ ที่สำคัญแม้เป็นอาการทางผิวหนังที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่มีรอยโรคที่ผิวหนังเห็นได้ชัดเจน เช่น เป็นผื่น ที่มีรอยแดงเป็นปื้นที่กดไม่จาง หรือ เป็นตุ่มแดง มีลักษณะคล้ายลมพิษ ในบางรายถ้ามีอาการรุนแรง อาจพบเป็นลักษณะเป็นตุ่มหนอง แตกเป็นแผลได้ โดยผื่นมักจะพบบ่อยที่บริเวณขาทั้งสองข้าง ทั้งนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์ กับความผิดปรกติหรือโรคอื่นๆในร่างกายได้ เช่น เป็นไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด คลื่นไส้อาเจียน ดังนั้นหากพบความผิดปกติดังกล่าวที่ผิวหนัง ให้รีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

นายแพทย์ไพโรจน์ กล่าวว่า “เส้นเลือดฝอยอักเสบ สามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยจะพบในวัยผู้ใหญ่มากกว่า 90% ภาวะเส้นเลือดฝอยอักเสบ ประมาณครึ่งหนึ่งเกิดจาก ความผิดปรกติของผิวหนังเอง ไม่สามารถหาสาเหตุได้ ในส่วนที่มีสาเหตุ พบว่า ผื่นรอยโรคอาจเกิดจากการกระตุ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด หรือเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นต้น นอกจากนั้นสามารถเกิดร่วมกับโรคแพ้ภูมิตัวเอง รวมถึงการกระตุ้นจากยา หรือ อาหารเสริมบางชนิด ก็มีรายงานทําให้เกิดภาวะนี้ได้”

ด้าน นายแพทย์ทนงเกียรติ เทียนถาวร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า “ลักษณะรอยโรคเป็นผื่น ที่มีรอยแดงเป็นปื้นที่กดไม่จาง หรือ เป็นตุ่มแดง มีลักษณะคล้ายลมพิษ ในบางรายถ้ามีอาการรุนแรง อาจพบเป็นลักษณะเป็นตุ่มหนอง แตกเป็นแผลได้ โดยผื่นมักจะพบบ่อยที่บริเวณขาทั้งสองข้าง ประมาณ 5-25% จะพบมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น การรักษาจะเน้นที่การรักษาปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดโรคหรือรักษาโรคร่วม การรักษาอาการอักเสบที่ผิวหนัง เป็นการให้ยาแก้แพ้ ยากดภูมิชนิดคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น colchicine หรือ indomethacin ซึ่งจะสามารถลดการอักเสบของผื่นได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง พบว่าผื่นและอาการของโรคสามารถหายได้ ในระยะเวลาไม่กี่อาทิตย์ถึงเป็นเดือน แต่ในบางรายเกือบประมาณ 10% ที่มีอาการรุนแรงหรือมีโรคพบร่วมเยอะ จะพบมีอาการของโรคเรื้อรัง ระยะเวลานานเป็นปีได้ ดังนั้น หากพบว่ามีอาการและรอยโรค ที่มีลักษณะคล้ายภาวะดังกล่าว ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัย รวมถึงหาสาเหตุของโรค และให้การรักษาที่เหมาะสม”

Related Posts

Send this to a friend