HEALTH

แพทย์กระดูกสันหลัง ชี้ แม่ตั้งครรภ์เสี่ยงโรคกระดูกพรุน แนะเสริมแคลเซียมตั้งแต่วัย 20 ปีขึ้นไป

นพ.ฐปนัตว์ จันทราภาส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผย สตรีมีครรภ์มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูง หากได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ แนะรับประทานแคลเซียมเสริม ก่อนนำไปสู่ภาวะกระดูกหัก สอดคล้องกับข้อมูลของ มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ พบว่าประชากรไทยที่มีความเสี่ยง เป็นโรคกระดูกพรุน 80-90% ที่ยังไม่ได้รับการประเมินและรักษา

อีกทั้งโรคกระดูกพรุน เป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ และไม่มีสัญญาณเตือนก่อนล่วงหน้า เมื่อผู้ป่วยประสบภาวะกระดูกพรุน จะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่ายขึ้น หากเกิดร่วมกับกระดูกสะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตในปีแรกมากถึง 17% และมีสัดส่วน 80% ที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม”

นพ.ฐปนัตว์ เผยว่า “โรคกระดูกพรุน คือ โรคที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก ลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลง ในลักษณะโครงสร้างของกระดูก ซึ่งจะมีผลทำให้กระดูกบางและเปราะง่าย ไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดได้ตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงกระดูกหักได้ง่าย ทั้งนี้โรคกระดูกพรุนมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมักพบมากในสตรีที่ตั้งครรภ์ เพราะบุตรจะดึงปริมาณของแคลเซียมออกไป ทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูก ของผู้เป็นแม่ลดลง”

“ดังนั้นเราจึงควรมีความรู้ในเรื่อง ของการสะสมมวลกระดูกเอาไว้ ยกตัวอย่าง แพทย์จะเสริมปริมาณแคลเซียมให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ แต่เมื่อหลังคลอดลูกก็ต้องกินนม ซึ่งจำเป็นที่คุณแม่ก็ต้องได้รับปริมาณแคลเซียมเสริมด้วยเช่นกัน เพราะธนาคารกระดูก หรือ Bone Bank เกิดขึ้นและสะสมปริมาณแคลเซียมนี้เอาไว้ ตั้งแต่เราอยู่ในท้องจนถึงอายุ 20 กว่าๆ ร่างกายจะค่อยๆถอนเอาไปใช้ สำหรับในเพศชายจะมีการสะสมของมวลกระดูก มากกว่าในเพศหญิง ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเพศชายไม่ต้องตั้งครรภ์จึงไม่สูญเสียมวลกระดูกในส่วนนี้ไป ในขณะที่เพศหญิงการมีบุตร จะดึงปริมาณแคลเซียมที่สะสมเอาไว้ เพื่อสละให้ลูกน้อยตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์”

“จากสถิติพบว่าผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน จะเริ่มมีภาวะของโรคกระดูกพรุนเช่นเดียวกัน จึงต้องมีการเสริมแคลเซียมเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามกระดูกประกอบด้วยโปรตีน ที่เป็นเส้นใยคอลลาเจนและมีแคลเซียม มาตกผลึกจับตัวกับคอลลาเจน จนกลายเป็นของแข็งที่สามารถรับน้ำหนัก แรงกด หรือแรงกระแทก และมีความยืดหยุ่นในตัวเอง การสร้างกระดูกให้แข็งแรงจำเป็นต้องได้รับปริมาณแคลเซียม และสารอาหารที่เหมาะสม โดยแคลเซียมจะทำให้กระดูกแข็งแรง ส่วนโปรตีนโดยเฉพาะคอลลาเจนและโปรตีนอื่นๆ จะทำให้กระดูกมีความเหนียวและยืดหยุ่น”

“นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วย สูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ได้แก่ การได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ กรรมพันธุ์ หรือผู้ที่มีประวัติกระดูกเปราะและหักง่าย หญิงวัยหมดประจำเดือน การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา และคาเฟอีน ไม่ออกกำลังกาย หรือผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต”

“การฉีดซีเมนต์ (Bone Cement) เพื่อรักษากระดูกสันหลังแตก หัก และทรุด โดยการเสริมความแข็งแรงของตัวกระดูกสันหลังที่หักด้วยซีเมนต์ เพื่อให้สามารถกลับมารับน้ำหนักตัวได้อีกครั้ง เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัด ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก และทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวด ฟื้นตัวได้เร็ว อีกทั้งขนาดแผลยังเล็กมาก จนแทบจะมองไม่เห็นสำหรับขั้นตอนการฉีดซีเมนต์ แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็ก โดยใช้เครื่องเอกซเรย์พิเศษ (Fluoroscope) เพื่อหาตำแหน่งและเจาะเข้าไป ในบริเวณที่กระดูกสันหลังแตก หัก หรือยุบ แล้วค่อยๆ ฉีดซีเมนต์ไปทีละนิด เพื่อไม่ให้ซีเมนต์ไหลออกมาจากกระดูก และรอให้ซีเมนต์แข็งตัว จึงดึงเข็มออกแล้วใช้พลาสเตอร์ปิดแผล เนื่องจากขนาดแผลที่เล็ก จึงไม่จำเป็นต้องเย็บปิดแผล”

“โดยทั่วไปแล้ววิธีการรักษาโรคกระดูกสันหลังแตก หัก ยุบ ด้วยวิธีการฉีดซีเมนต์นั้น มี 2 วิธี 1.การฉีดซีเมนต์อย่างเดียวตรงๆ 2.การฉีดซีเมนต์โดยใช้ Balloon ขยายก่อน เพื่อที่จะฉีดซีเมนต์เข้าไปให้ได้ปริมาณที่มาก แต่ที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เราใช้เทคนิคพิเศษ โดยการฉีดซีเมนต์ปริมาณมาก เข้าไปตรงบริเวณที่แตกหัก ยุบ อย่างตรงจุด ด้วยอุปกรณ์นำวิถี ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากและข้อแทรกซ้อนน้อย ทั้งนี้ผู้ป่วยใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ซีเมนต์ที่ฉีดเข้าไปนั้นแข็งตัว ก็สามารถลุกนั่ง ยืน เดินได้ตามปกติ และอาการปวดของผู้ป่วยก็จะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากที่ฉีดเสร็จ การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านกระดูกสันหลัง ซึ่งมีความชำนาญในการทำหัตถการเท่านั้น”

Related Posts

Send this to a friend