การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน ช่วยคัดกรองโรควางแผนใช้ชีวิตสมดุลเพื่ออายุที่ยืนยาว
“การป้องกันไว้ดีกว่าแก้” นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ (หมอแอมป์) นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ได้ออกมาแนะนำการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน โดยการตรวจเช็คกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างละเอียดครบถ้วนในแต่ละคน เพื่อนำไปใช้วางแผนรักษาสุขภาพ ให้อยู่อย่างแข็งแรง ยืนยาว อย่างมีคุณภาพเพราะ “สุขภาพคือสมบัติที่สำคัญที่สุด”
นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่า “สุขภาพคือสมบัติที่สำคัญที่สุด เรามีครอบครัวที่เรารัก มีพ่อแม่ มีลูก มีคนที่เราห่วงใย เพราะฉะนั้นรถยนต์คันนี้จะพังไม่ได้ การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน จึงเหมือนกับการนำร่างกายที่รักของเราไปตรวจเช็คกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างละเอียดครบถ้วน นำไปใช้วางแผนรักษาสุขภาพ ให้อยู่อย่างแข็งแรง ยืนยาว อย่างมีคุณภาพ การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน มุ่งเน้นที่การดูแลคนสุขภาพดีไม่ให้เจ็บป่วย ต่างกับการรักษาโรคที่เป็นการดูแลคนป่วยให้หายดี ฉะนั้นการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศและสภาวะของร่างกาย ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินประวัติสุขภาพโดยละเอียด เพื่อวางแผนการตรวจสุขภาพ ตลอดจนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด”
ในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาไปอย่างมาก การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน จึงมีหัวข้อต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างดังนี้
1.การตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable disease; NCDs) ได้แก่ โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคถุงลมโป่งพอง, โรคอ้วน กลุ่มโรคเหล่านี้มักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปจนถึงความเครียดเรื้อรัง (Chronic stress) ที่สั่งสมเป็นเวลานาน การตรวจสุขภาพด้วยวิธีการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ไปจนถึงการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยมาช่วย เช่น MRI, CT scan, DEXA scan เป็นต้น ช่วยให้สามารถระบุภาวะสุขภาพในปัจจุบัน รวมถึงช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ และการมีพฤติกรรมที่ดี อีกทั้งช่วยให้ทีมแพทย์วางแผนการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในอนาคต อาทิ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งเกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) โรคไขมัน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตับ โรคต้น เป็นต้น
2.การตรวจวัดระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ (Vitamins, Minerals and Antioxidant) ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, เบตาแคโรทีน, แอลฟาแคโรทีน, ไลโคปีน (Lycopene) , ลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ล้วนมีความสำคัญต่อระบบการทำงานในร่างกาย ทำหน้าที่ป้องกันหรือชะลอกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระ (Free radicals) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมสภาพภายในร่างกาย การตรวจเลือดช่วยป้องกันการได้รับวิตามินแร่ธาตุที่มากเกินความจำเป็น ช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรู้ถึงสภาวะสุขภาพปัจจุบัน และออกแบบอาหารเสริมเฉพาะบุคคล (Customized Supplements) ในการรักษาระดับสารอาหารต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เสริมสร้างร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ
3.การตรวจคัดกรองมะเร็งทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
เนื่องจากมะเร็งมักจะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor marker) จากเลือด จึงมีส่วนช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น
- ค่า Alpha-fetoprotein (AFP) ที่มักมีค่าสูงกว่าปกติในผู้ป่วยมะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma) รวมถึงมะเร็งของรังไข่ หรือ อัณฑะ ชนิด embryonal cell carcinoma
- ค่า Carcinoembryonic antigen (CEA) ซึ่งมักสูงผิดปกติผู้ป่วยมะเร็งของระบบทางเดินอาหารต่างๆ, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งปอด, มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ จะพบ ค่า CEA สูง บ่อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ
- ค่า Prostate-specific antigen (PSA) ในเพศชายเพื่อดูความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากและภาวะต่อมลูกหมากโตที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign prostatic hyperplasia, BPH)
- ค่า Cancer antigens (CA15-3) เพื่อคัดกรองมะเร็งเต้านมในผู้หญิง
- ค่า Cancer antigens (CA125) เพื่อคัดกรองมะเร็งรังไข่ชนิด non-mucinous type
- ค่า Cancer antigens (CA19-9) เพื่อคัดกรองมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งของท่อน้ำดี
การตรวจคัดกรองมะเร็งอื่นๆ ได้แก่
• การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test) เพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อเก็บเซลล์จากมดลูกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์ที่อาจพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง รวมถึงการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV (Human papillomavirus) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
• EDIM (Epitope Detection in Monocytes) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยในการคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งในระยะเริ่มแรก (Early detection cancer) โดยใช้การตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ที่ถูกกระตุ้นกลายเป็นแมคโครฟาจ (macrophage) ซึ่งทำหน้าที่จับกินสิ่งแปลกปลอมทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย เซลล์เสื่อมสภาพ รวมถึงเซลล์มะเร็ง จึงสามารถพบชิ้นส่วนของเซลล์ที่ผิดปกติอยู่ภายในเซลล์แมคโครฟาจได้ ส่วนสำคัญในวิธีการตรวจวัดนี้จะใช้ตัวบ่งชี้ 2 ตัว คือ DNaseX และ TKTL1 Gene เพื่อนำมาคำนวณเป็นคะแนน ใช้ดูความเสี่ยงของการมีเซลล์ผิดปกติที่มีโอกาสพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้
4.การตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากการตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดแล้ว การตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้ละเอียดมากขึ้นนั้นยังมีอีกหลายวิธี เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram; EKG) เพื่อดูกระแสไฟฟ้าที่หัวใจผลิตออกมาขณะหัวใจหดและคลายตัวว่ามีความผิดปกติหรือไม่
- การตรวจสมรรถภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Ankle Brachial Index; ABI) เพื่อค้นหาหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน
- การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise stress test; EST) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram; ECHO) เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ เช่น การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น
- การตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan; CAC) สามารถทำได้โดยไม่ต้องฉีดสี (Non-contrast) เพื่อใช้บ่งชี้ความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยแปลผลออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งตัวเลขที่มากขึ้นนั้น หมายถึงความเสี่ยงที่หลอดเลือดหัวใจจะตีบหรือตันมากขึ้น
- การตรวจอัลตราซาวน์เพื่อตรวจดูหลอดเลือดแดงคาโรติด (Ultrasound Carotid Artery) บริเวณคอทั้งสองข้าง เพื่อดูการไหลเวียนของเลือด และคราบหินปูน (Calcified plaque) ทำให้เห็นว่าหลอดเลือดมีการตีบตันหรือไม่
5.การตรวจความหนาแน่นของมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูก
การตรวจวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analysis) เพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นของมวลกระดูก มวลไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ ด้วยเครื่อง DEXA scan ทำให้ทราบข้อมูลของร่างกายมากกว่าการใช้น้ำหนักตัวเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคนที่มีน้ำหนักตัวเท่ากัน สามารถมีองค์ประกอบร่างกายที่แตกต่างกันได้ การตรวจวัดองค์ประกอบร่างกาย จึงเพิ่มความแม่นยำในการบ่งชี้ภาวะโรคอ้วน โดยในผู้ชายวัยกลางคน ไม่ควรมีเปอร์เซ็นต์ไขมันเกิน 28% และในผู้หญิง ไม่ควรเกิน 32 % รวมไปถึงการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก เพื่อดูความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) รวมถึงเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอยู่เสมอ ป้องกันการพลัดตกหกล้มที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้ที่มีเปอร์เซ็นต์ไขมันเกินเกณฑ์ที่กำหนด สามารถวางแผนร่วมกับแพทย์และทีมงาน Lifestyle Medicine ในการดูแลรักษา ลดมวลไขมันได้อย่างเหมาะสมกับสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคลต่อไป
6.การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ
ฮอร์โมนคือ สิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ในร่างกายมนุษย์มีฮอร์โมนมากกว่า 50 ชนิด ช่วยในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ จะทำให้ทราบว่า ฮอร์โมนใดขาดสมดุล เพื่อจะนำไปสู่การฟื้นฟู ด้วยการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต การเสริมยาและวิตามินต่างๆ ไปจนถึงการวางแผนดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในอนาคต
7.การตรวจสายตาและการได้ยิน
ในปัจจุบันผู้คนใช้เวลาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง จนอาจลืมไปว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น คุณภาพการนอนหลับที่ลดลง เพราะแสงสีฟ้ารบกวนการหลั่งเมลาโทนินและนาฬิกาชีวภาพ (circadian rhythm) การนอนหลับที่ไม่สนิทอาจนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน และยังส่งผลเสียต่อจอประสาทตาโดยตรง
การตรวจสุขภาพสายตาเบื้องต้น เพื่อตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น ภาวะเบาหวานขึ้นตา หรือผลจากความดันโลหิตสูง, การเกิดต้อต่างๆ เช่น ต้อหิน (Glaucoma), ต้อกระจก (Cataract), ต้อลม (Pinguecula), ต้อเนื้อ (Pterygium) เป็นต้น และการตรวจระดับการได้ยิน เป็นการตรวจการทำงานของหูและระบบโสตประสาทเพื่อหาระดับการได้ยิน การทดสอบความสามารถในการมองเห็นและการได้ยิน ช่วยให้มีข้อมูลเบื้องต้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาและหูที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
8.การตรวจสุขภาพผิวพรรณ
การตรวจวิเคราะห์สภาพผิว (Skin Analysis) ด้วยเครื่อง Complexion analysis photography system เป็นการระบุประเภทของผิวที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ทำให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผิว ข้อดี และ ข้อบกพร่อง โดยกล้องมีความละเอียดสูง ทำให้สามารถตรวจวิเคราะห์ผิวชั้นบนและผิวชั้นที่ลึกลงไป โดยจะสามารถเห็นปริมาณรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ การอักเสบของผิว ความกว้างของรูขุมขน ริ้วรอย สารที่ทำให้เกิดสิวบนใบหน้า UV Spots ความไม่สม่ำเสมอของสีผิว และยังสามารถบอกอายุผิวที่แท้จริงของแต่ละบุคคลได้อีกด้วย เพื่อให้แพทย์สามารถให้คำแนะนำและการรักษาที่ตรงจุด รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวมากที่สุดอีกด้วย
9.การตรวจรหัสพันธุกรรม (Genetic Testing)
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ หลายล้านเซลล์ โดยในแต่ละเซลล์จะมีสายพันธุกรรมซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะความแตกต่างเฉพาะบุคคล การตรวจพันธุกรรมช่วยให้ค้นหาความผิดปกติของยีนลึกลงไปถึงดีเอ็นเอ (DNA) ช่วยประเมินความเสี่ยงสุขภาพในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน รวมถึงยีนยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมสุขภาพที่ส่งผลต่อการมีอายุที่ยืนยาว ช่วยให้เราสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ตรงจุดและเหมาะสมกับบุคคลมากยิ่งขึ้น (Personalized Medicine)