HEALTH

เตือน อันตรายจากหน้าจอคอม-มือถือ-แท็บเล็ต เสี่ยงส่งผลเสียต่อสายตาลูกน้อย

วันนี้ (5 ต.ค. 66) นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เตือน อันตรายจากหน้าจอคอมมือถือและแท็บเล็ต ที่ส่งผลเสียต่อสายตาลูกน้อย เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น อีกทั้งยังนิยมใช้เป็นสื่อหนึ่ง ในการเพิ่มทักษะต่างๆ ให้แก่เด็ก การใช้อุปกรณ์เหล่านี้มีข้อแนะนำ เพื่อให้เด็กไม่เกิดปัญหาที่จะตามมา โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพตา เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้งเคืองตา และตามัว สายตาสั้นก่อนวัย หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรพบจักษุแพทย์ ที่สำคัญการที่เด็กจ้องหน้าจอติดกัน วันละหลายชั่วโมง จะทำให้เกิดภาวะขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และส่งผลกระทบต่อความผูกพัน ระหว่างคนในครอบครัวได้

นายแพทย์ไพโรจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น หลายคนอาจเคยประสบปัญหา ในอาการเหล่านี้ เช่น ทำให้ปวดเมื่อยตา ตาแห้ง ตาล้า แสบตา เคืองตา ตาพร่ามัวโฟกัสได้ช้าลง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะหรือบางครั้งมีอาการปวดหลังปวดไหล่ หรือปวดต้นคอร่วมด้วย และส่งผลต่อการนอนหลับได้ หากมีอาการที่กล่าวข้างต้น ร่วมกับการใช้งานจากหน้าจอ ติดต่อกันเป็นเวลานานในแต่ละวัน และหากแบ่งเวลาการทำงาน หรือเวลาเรียนออนไลน์ไม่เหมาะสม ก็จะส่งผลต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะดวงตาที่ต้องรับภาระ จากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอมือถือเป็นเวลานานๆ จึงอาจเป็นปัญหาต่อดวงตา อาการที่พบจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้งเคืองตา ตามัว หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรพบจักษุแพทย์

ด้านนายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) กล่าวว่า เด็กเป็นกลุ่มเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญ จากการที่สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ใช้งานไม่ยากมีซอฟต์แวร์น่าใช้ดึงดูดการใช้งาน นอกจากนี้ผู้ปกครองยังนิยมใช้เป็นสื่อหนึ่ง ในการเพิ่มทักษะต่างๆ ให้แก่เด็กหรือเพื่อให้เด็กไม่รบกวน โดยอาจขาดความรู้เท่าถึง ต่อโทษที่จะตามมาโดยเฉพาะปัญหาสุขภาพตา พบว่าเด็กมักใช้เวลาวันละประมาณ 7 ชั่วโมง ไปกับสื่อเอนเตอร์เทน ทั้งนี้ในส่วนของสติปัญญาการพัฒนาทางอารมณ์และสังคม พบว่าการใช้สื่อต่างๆเป็นเวลานาน ส่งผลต่อความตั้งใจเรียน ที่โรงเรียนลดลง พฤติกรรมการกินการนอนผิดไป และเกิดโรคอ้วนตามมา ปัญหาทางตาที่พบจากการใช้สื่ออุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้งเคืองตา ตามัว และเสี่ยงสายตาสั้นก่อนเวลาอันควร

ขณะที่ แพทย์หญิงพันธราภรณ์ ตั้งธรรมรักษ์จักษุแพทย์ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ยังมีแสงสีฟ้าที่เป็นแสงที่พบได้จากแสงแดด มือถือ แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้ามีความกระเจิงแสง ทำให้เกิดความไม่สบายตาในการมอง และมีผลต่อการนอนหลับยากขึ้น ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่า แสงสีฟ้าก่อโรคต่อดวงตาชัดเจน เพราะฉะนั้นแว่นตาตัดแสง สีฟ้าอาจจะมีประโยชน์ในแง่ช่วยให้มองภาพสบายตามากขึ้น มีคำถามว่าลูกน้อย ควรใช้เวลาหน้าจอเท่าไหร่ต่อวัน จักษุแพทย์แนะว่าหากเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปีไม่ควรใช้เวลาหน้าจอเลย ส่วนเด็กอายุ 1-2 ปีใช้เวลาหน้าจอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในช่วงอายุ 3-4 ปี ใช้เวลาหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน และในช่วงมากกว่า 5-13 ปีใช้เวลาหน้าจอไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน

สำหรับคำแนะนำในการดูแลลูกน้อย ในขณะใช้หน้าจอ คือ

1.ควรพักสายตาเมื่อลูกน้อยใช้หน้าจอ โดยใช้หลัก 20-20-20 โดยพักจากหน้าจอทุก 20 นาที พักสายตาโดยมองวัตถุที่ไกลออกไปประมาณ 20 ฟุต และพักเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
2.ปรับแสงสว่างให้เพียงพอ วางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ห่างประมาณ 25 นิ้ว ปรับหน้าจอความเข้ม ความสว่างให้พอดี
3.การใช้น้ำตาเทียม อาจมีประโยชน์สำหรับกรณี มีอาการตาแห้งร่วมด้วย

  1. ควรพบจักษุแพทย์ หากลูกน้อยมีอาการกระพริบตาบ่อย มองภาพไม่ชัด มีตาเข ปวดศีรษะ

แต่ทั้งนี้เพื่อสุขภาพกายที่ดี ลดความเสี่ยงสายตาสั้น และเพื่อให้เกิดการพัฒนาของสติปัญญา ทางจิตใจ อารมณ์ และสังคม แนะนำให้เด็กๆ มีกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออ่านหนังสือ และที่สำคัญสมองเด็กมีพัฒนาการที่เร็วมากในช่วงอายุ 2-3 ขวบปีแรก จึงควรให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์ วิธีสังเกตถ้าเด็กในปกครองมีอาการเช่น เด็กอาจจะบ่นปวดตา หรือแสบตา ตาแดง กระพริบตาบ่อย หรือเอามือขยี้ตา ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที

Related Posts

Send this to a friend