กรมวิทย์ พบ ‘เชื้อซาลโมเนลลา’ ปนเปื้อนอาหารในไทย

แนะ ‘ทำความสะอาด-ปรุงสุก’ ก่อนรับประทาน ลดความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อ

วันนี้ (6 ต.ค. 66) นายแพทย์บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การปนเปื้อนเชื้อซาลโมเนลาในประเทศไทยว่า จากการตรวจยืนยันเชื้อ Non-typhoidal Salmonella (NTS) ซึ่งเป็นเชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella spp.) กลุ่มไม่ใช่ไทฟอยด์ ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร หรือโรคอาหารเป็นพิษ ที่เรียกว่า ‘โรคซาลโมเนลโลสิส (Salmonellosis)’ โดยทั่วไปมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และอุจจาระร่วง ส่วนความรุนแรงของอาการจะแตกต่างไปตามชนิดและปริมาณเชื้อที่บริโภค

ในผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง อาการจะหายไปเองภายใน 7 วัน แต่ในผู้ป่วยกลุ่ม YOPI ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ตั้งครรภ์ และผู้ที่มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน อาจมีอาการรุนแรงหรือติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้ จำเป็นต้องรับการวินิจฉัยจากแพทย์ร่วมกับผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทราบสายพันธุ์และรูปแบบการดื้อยาต้านจุลชีพ เพื่อเป็นแนวทางการรักษา

จากข้อมูลการตรวจยืนยันสายพันธุ์ของเชื้อซาลโมเนลลาทางห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม พบว่าสายพันธุ์ของซาลโมเนลลาที่พบมากสุดสามลำดับแรก คือ Salmonella Amsterdam ร้อยละ 12.2 Salmonella Brunei ร้อยละ 11.2 และ Salmonella Weltevreden ร้อยละ 10.2 โดยพบในวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ น้ำอุปโภค และผักสลัด ตามลำดับ

นอกจากนี้ มีรายงานการตรวจพบเชื้อซาลโมเนลลาในผลิตภัณฑ์นำเข้า ณ ด่านตรวจสินค้าของสหภาพยุโรป พบในขนมฮาลวา (Halvah) จากสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เป็นสายพันธุ์ Salmonella Amsterdam พบในกุ้งขาวแวนนาไม (Pacific white shrimp) และในเห็ดหูหนูดำแห้ง (Dired Mu-Err mushrooms) จากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็น Salmonella Brunei และ Salmonella Weltevreden ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยเช่นกัน

นายแพทย์บัลลังก์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การปนเปื้อนของเชื้อซาลโมเนลลาในอาหาร พบได้ทั้งในอาหารที่รับประทานโดยไม่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน ซึ่งจะมีความเสี่ยงการปนเปื้อนที่สูง ดังนั้นผู้บริโภคควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่สะอาด และมีการล้างทำความสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนเชื้อ