กรมการแพทย์ แนะคนไทยเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง ย้ำ หากพบ หูด ไฝ ปาน โตผิดปกติรีบพบแพทย์
วันนี้ (3 พ.ค. 66) นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เผย เนื่องในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งผิวหนัง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ขอเชิญชวนชาวไทยทำความรู้จักกับมะเร็งผิวหนัง ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบได้น้อยแต่มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้สาเหตุที่สำคัญยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่า หูด ไฝ ปาน หรือแผลเรื้อรังเมื่อเกิดการระคายเคือง เป็นระยะเวลานาน อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ รวมทั้งแสงแดดก็เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้เช่นกัน
นายแพทย์วีรวุฒิ กล่าวว่า “มะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งที่พบได้น้อยในคนไทย โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย จากสถิติข้อมูลมะเร็งประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2559-2561 (Cancer in Thailand Vol.X 2016-2018) รวบรวมโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งในแต่ละปีพบผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังรายใหม่เฉลี่ย 4,374 คนต่อปี หรือวันละ 12 คน มะเร็งผิวหนังมักพบที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว ส่วนใหญ่เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือเริ่มต้นเป็นแผลเล็กๆแล้วจึงค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น มีลักษณะผิวขรุขระ ขอบเขตไม่ชัดเจน สีไม่สม่ำเสมอ”
ด้าน นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า “สาเหตุที่สำคัญในการเกิดมะเร็งผิวหนังนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ได้แก่ แสงแดด, มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง,โรคทางพันธุกรรมบางโรค,คนผิวขาว หรือ ผิวเผือก, สารเคมีบางชนิด เช่น สารหนู,แผลเรื้อรัง,ภาวะภูมิต้านทานต่ำ และการได้รังสีรักษา เป็นต้น สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง ทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคที่สงสัย เพื่อตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา และหลังจากได้รับการวินิจฉัยแล้ว แพทย์จะทำการประเมินระยะของโรคเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป”
“การรักษามะเร็งผิวหนัง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาการรักษา ให้เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด ตำแหน่งของมะเร็ง ทั้งนี้ด้วยวิธีการรักษาทางมาตรฐาน มักจะต้องทำการผ่าตัดทั้งรอยโรค และในส่วนบริเวณผิวหนังที่ปกติโดยรอบออก อาจจำเป็นต้องตัดต่อมน้ำเหลือง ในส่วนที่มะเร็งจะกระจายไป ซึ่งบางกรณีอาจต้องให้ยาเคมีบำบัด หรือ การให้รังสีรักษาร่วมด้วย ส่วนวิธีการป้องกัน คือ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานๆ ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันเพื่อลดการสัมผัสแสงแดดโดยตรง เช่น ใส่แว่นกันแดด,ใช้ร่ม,สวมหมวก,สวมเสื้อแขนยาว ควรหมั่นสังเกตบนร่างกายตนเองเป็นประจำว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ หรือหากมีแผลเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป”












