HEALTH

ปลัด สธ. ยันแก้กฏ ปรับให้ครอบครองยาบ้า 1 เม็ด ถือเป็นผู้ค้า ป้องกันพวกลอดช่องกฎหมาย

ชี้ส่งผลต่อสุขภาพตั้งแต่เม็ดแรก อำนาจชี้ขาดว่าเป็น ‘ผู้ค้า’ หรือ ‘ผู้เสพ’ อยู่ที่ดุลยพินิจตำรวจ ต้องดูพฤติการควบคู่ ขอให้สังคมช่วยสอดส่องปม ‘ยัดยา’ เชื่อตำรวจระมัดระวังอยู่แล้ว

วันนี้ (1 ก.พ. 66) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงข้อเสนอการแก้กฎกระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนจำนวนยาบ้าจาก 5 เม็ด เป็น 1 เม็ด ให้เป็นผู้ค้าว่า ตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา 107 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการะทรวงสาธารณสุขในการออกร่างกฎกระทรวง ซึ่งโดยหลักการมีอยู่ 2 ส่วน คือ ต้องแยกเป็นผู้เสพ ผู้ใช้ หรือผู้ติด หรือผู้ค้า โดยกฎหมายได้กำหนดวิธีการไว้ 2 ส่วน คือ

1)ให้ดูตามจำนวนเม็ด ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
2) ต้องดูพฤติกรรมประกอบ โดยเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้กำหนดแนวทาง โดยจำนวนเม็ด กฎหมายหลายฉบับเขียนไว้ แต่ไม่เป็นตัวเลขเดียวกัน ซึ่งมีร่างประมวลกฎหมายอาญาฉบับใหม่ ก็จะต้องทบทวนอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมคณะกรรมการบำบัด และรักษาฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 และมีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ซึ่งประชุมมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการทางแพทย์ ระหว่างกรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีข้อสรุปตรงกันว่า การมียาเสพติดที่เดิมกำหนดไว้กี่เม็ดกี่เม็ด จึงเป็นช่องว่างให้ผู้ค้ายาเสพติด เช่น พกไปแค่ 4 เม็ด เพื่อนำไปขาย แต่เข้าข่ายเป็นเพียงผู้เสพ จึงทำให้เห็นตรงกันว่าการกำหนดจำนวนเม็ด ไม่สามารถป้องกันและควบคุมให้ประชาชนปลอดภัยจากยาเสพติดได้ ดังนั้นที่ประชุมจึงเห็นตรงกันว่าให้กำหนดไว้ 1 เม็ด เป็นปริมาณขั้นต่ำ แต่จะมีการประชุมคณะกรรมการกระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง ในวันพรุ่งนี้ (2กุมภาพันธ์)

สำหรับข้อดี คือจะทำให้ประชาชนเกิดความระมัดระวังว่ายาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิตและทำให้ผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาได้มากขึ้น ซึ่งการบำบัดรักษาถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ระดับรุนแรงหรือสีแดง จะต้องบำบัดรักษาในสถานพยาบาล อาการปานกลางกลุ่มสีเหลือง จะรักษาในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วประเทศ ส่วนผู้เสพอาการน้อยหรือผู้ใช้ ไม่ว่าจะเสพกี่เม็ด ก็ต้องได้รับการดูแลในศูนย์บำบัดระดับชุมชน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนไว้ครบวงจรแล้ว จะทำให้คนเข้าถึงระบบรักษาได้มากขึ้น และให้สังคมตระนหักด่าไม่ควรมียาเสพติดเลย และเป็นการปิดช่องโหว่การครอบครองยาเสพติด

ทั้งนี้ นพ.โอภาส ยืนยันว่า ระบบการรักษาและบำบัดผู้ติดยาเสพติดขณะนี้ไม่มีปัญหา และยืนยันไม่มีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล พร้อมกับย้ำว่าผลกระทบทางสุขภาพของผู้เสพยาเสพติดมีตั้งแต่ 1 เม็ดขึ้นไป พอมีการกำหนดจำนวนเม็ด ทำให้ประชาชนบางส่วนเข้าใจผิด ซึ่งในความเป็นจริงมีผลตั้งแต่การเสพเม็ดแรกแล้ว โดยมีผลทางวิชาการยืนยัน

ส่วนผู้พิจารณาว่าใครเป็นผู้เสพหรือผู้ค้านั้น นพ.โอภาส ระบุว่า เป็นเจ้าพนักงาน โดยหลักแล้วจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกียวข้อง โดยจะต้องพิจารณาทั้ง 2 ส่วน คือ พฤติการณ์และการครอบครอง พร้อมย้ำว่าเป็นไปตามดุลยพินิจของตำรวจ

เมื่อถามย้ำถึงสิ่งที่สังคมกังวลในเรื่องการยัดยาจนกลายเป็นผู้ค้านั้น นพ.โอภาส ระบุว่า สังคมต้องช่วยกันสอดส่อง และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีวิธีการปฏิบัติและระมัดระวังอยู่แล้ว

ส่วนข้อกังวลที่หลายฝ่ายออกมาระบุว่าจะบำบัดรักษากันไม่ไหวนั้น นพ.โอกาส กล่าวว่า ระบบการรักษาของกระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงปริมาณผู้ใช้ยาเสพติด คาดว่ามีอยู่ล้านกว่าคน ซึ่งมีระบบการรักษาตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงโรงพยาบาล ซึ่งเรื่องการกุมขังนั่นกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เป็นผู้พิจารณา แต่คำนึงถึงเพียงปริมาณการใช้ว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างไร

Related Posts

Send this to a friend