อิงเกอร์ แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำลายที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ป่าและทำให้คนใช้ประโยชน์จากสัตว์มากสายพันธุ์ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มนุษย์อาจมีโอกาสสัมผัสตัวนำโรคมากขึ้น เมื่อแพร่มาสู่มนุษย์แล้ว โรคติดต่อเหล่านี้ก็จะแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วในโลกที่เชื่อมโยงติดต่อกันเช่นนี้ เหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้วกับโควิด-19”
รายงานฉบับนี้อธิบายว่าสัตว์ในฟาร์ม เช่นวัว หมูและไก่อาจทำให้โรคติดต่อแพร่ง่ายขึ้นเนื่องจากโดยมากแล้วสัตว์เหล่านี้มักเลี้ยงในสภาพที่ “ไม่สู้จะดีนัก” เพื่อให้มีผลผลิตสูงกว่า และมักจะอยู่ในสถานที่ที่ขาดความหลากหลายทางสายพันธุ์ ทำให้โรคแพร่กระจายไปได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับสถานที่ที่มีสัตว์หลากหลายสายพันธุ์อยู่รวมกัน ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ในการปศุสัตว์ส่วนใหญ่ตอนนี้อยู่ในระบบที่เรียกว่าฟาร์มเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นระบบที่ขังสัตว์นับพันๆ ชีวิตไว้ด้วยกัน ไม่มีโอกาสให้สัตว์รักษาระยะห่างจากกันได้เลย
UNEP กล่าวว่า ในประเทศรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำหลายประเทศ เช่นประเทศไทย มีการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์สูงขึ้น ทำให้ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ ทั่วโลก อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อสัตว์เติบโตขึ้น 260% และอุตสาหกรรมไข่ไก่เติบโตขึ้น 360%
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ย่อหน้าหนึ่งในรายงานระบุว่า “ตั้งแต่ปีค.ศ.1940 กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพื่ออำนวยการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การสร้างเขื่อน การชลประทาน และการปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อกว่า 25% และโรคติดต่อจากสัตว์กว่า 50% จากบรรดาโรคทั้งหมดที่เกิดในมนุษย์
นอกจากนี้ UNEP ก็ยังเน้นย้ำว่า ในประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่ามีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการปศุสัตว์มักจะอยู่ใกล้เขตเมือง ระบบความปลอดภัยด้านชีวภาพ (biosecurity)และมาตรฐานการทำฟาร์มสัตว์มักไม่ดีพอ ไม่มีการจัดการมูลสัตว์อย่างเป็นระบบ และยังใช้ยาปฎิชีวนะเพื่อปกปิดสภาพความเป็นอยู่อันย่ำแย่ของสัตว์และการจัดการที่ไม่ดี