GREEN BUSINESS

TSM Group พลิกโฉมอุตสาหกรรมน้ำตาลไทย สู่โมเดลธุรกิจเพื่ออนาคตและเพื่อโลกที่ยั่งยืน

ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อแนวทางการผลิตแบบดั้งเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาวได้อีกต่อไป

TSM Group หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตน้ำตาล จึงลุกขึ้นมาก้าวข้ามกรอบเดิมของการเป็นผู้ส่งออกน้ำตาล สู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) และเดินหน้าความเป็นกรีนอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเป้าหมายชัดเจนในการใช้ทรัพยากรจากต้นอ้อยให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การไปสู่ความยั่งยืน หลายองค์กรอาจมองว่าเป็นต้นทุน แต่สำหรับ TSM Group ถือว่าเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในระยะยาว เราเชื่อว่า ความยั่งยืนไม่ใช่ภาระหรือค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ แต่เป็นแนวทางการพัฒนาที่จะนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างรายได้ใหม่ในอนาคต

ในมุมมองของเรา การไปสู่ความยั่งยืน ‘ต้องทำให้ได้กำไร’ ด้วย เพราะหากโมเดลนั้นไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ หรือไม่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องก็ไม่อาจเรียกว่าเป็น ‘ความยั่งยืน’ ที่แท้จริง ความยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงการลดผลกระทบต่อโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างคุณค่าทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และยืนหยัดอยู่ได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม” ดร.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกำกับองค์กร TSM GROUP กล่าวเปิดประเด็น

พลิกวิสัยทัศน์ อ้อยไม่ใช่แค่ผลิตน้ำตาล

แม้ว่าธุรกิจของ TSM Group จะมีรายได้จากธุรกิจน้ำตาลเป็นหลัก แต่กลับมีโครงสร้างธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะทุกธุรกิจต่างสอดประสานกันเพื่อบริหารจัดการวัตถุดิบหลักอย่างอ้อยได้อย่างหมดจด ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ควรจะเป็น waste ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงสร้างธุรกิจหลักของกลุ่ม TSM Group แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • ธุรกิจน้ำตาล (Sugar Business) ใช้วัตถุดิบจากอ้อย
  • ธุรกิจเอทานอล (Ethanol Business)
    • เชื้อเพลิงเอทานอลจากกากน้ำตาล เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน
  • ธุรกิจพลังงาน (Energy Business) ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจผลิตไฟฟ้า
    • พลังงานไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย (Biomass Energy)
    • พลังงานก๊าซชีวภาพจากน้ำกากส่า (Biogas Energy) ที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตเอทานอล

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างธุรกิจต่างๆ มีการต่อยอดใช้ waste จากการผลิตน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า สร้างเม็ดเงินได้อย่างต่อเนื่อง

ดร.กนกวรรณ เผยว่า “จากมุมมองที่เคยมองอ้อยเป็นเพียงวัตถุดิบผลิตน้ำตาล TSM Group ได้ขยายมิติใหม่ในการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรมจากทุกส่วนของต้นอ้อย ไม่ว่าจะเป็นกากน้ำตาลที่นำไปผลิตเอทานอลและไบโอแก๊ส ส่วนชานอ้อย ใบอ้อย นำไปผลิตเป็นนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวภาพใช้ในส่วนการผลิตน้ำตาลแทนการใช้ไฟฟ้าจากฟอสซิล และยังสามารถผลิตเป็นทรายแมวได้อีก นอกจากนี้เรายังมีผลิตภัณฑ์ Green CO2 ที่ได้จากการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตเอทานอล นำไปขายต่อให้กับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมที่ต้องการ ถือเป็นทั้งธุรกิจ และความเคลื่อนไหวเชิงรุกในเจตนารมย์ด้านความยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างรายได้จากสิ่งที่เคยเป็นของเสีย”

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชีวภาพ (Bio-CO2) ของทาง TSM Group เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักในโรงงานเอทานอล โดยยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลในวัตถุดิบให้กลายเป็นเอทานอล พร้อมกับปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชีวภาพที่มีความบริสุทธิ์ 99.99 % ออกมา ซึ่งนับเป็นกระบวนการชีวภาพสำคัญในอุตสาหกรรมชีวภาพสมัยใหม่

Bio-CO2 ที่ได้จะถูกดักจับด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยจากประเทศเยอรมนี ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ก่อนจัดเก็บในรูปของเหลว เพื่อนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มอัดลม อาหาร การแพทย์ งานเชื่อมโลหะ และภาคการเกษตร

แนวทางการใช้ประโยชน์จาก Bio-CO2 นี้ ไม่เพียงช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (carbon footprint) ของโรงงาน แต่ยังสะท้อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด ส่งเสริมทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนในระยะยาว

จะเห็นได้ว่า TSM Group ใช้ทุกส่วนของต้นอ้อย ตั้งแต่ น้ำอ้อย กากอ้อย ใบอ้อย กากน้ำตาล ชานอ้อย น้ำกากส่า ไปจนถึงก๊าซ CO2 ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการหมัก ถูกนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ผลิตเอทานอล พลังงานสีเขียว และก๊าซ Bio-CO2 ซึ่งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชีวภาพที่ได้จากการหมัก ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังพลิกของเสียให้กลายเป็นมูลค่าอย่างยั่งยืน

BCG Model ไม่ใช่แต่รักโลก แต่ต้องมีนวัตกรรม

TSM Group นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ผู้ประกอบการของไทยที่สามารถนำนโยบาย BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) มาประยุกต์ใช้จริงในระดับอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Zero Waste และ Carbon Negative อย่างจริงจัง ด้วยการบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

อย่างไรก็ตาม TSM Group ยังเป็นผู้เล่นที่มุ่งเน้นไปสู่การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ด้วย ล่าสุดยังได้พัฒนาน้ำตาล Low GI (Low Glycemic Index Sugar) ภายใต้แบรนด์ GOOD SUGAAAR ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เมื่อบริโภคแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้พุ่งสูง จึงเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ รวมถึงผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล

ในทิศทางเดียวกัน TSM Group ยังให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์โดยใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% เป็นการลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่สายการผลิตจนถึงมือผู้บริโภค สิ่งนี้ TSM Group เรียกว่า น้ำตาลรักโลก

การสร้างความยั่งยืนต้องไปทั้ง Eco system

ดร.กนกวรรณ เผยต่อว่า “เราเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ทุกภาคส่วนในระบบนิเวศธุรกิจ เติบโตไปด้วยกัน มีแนวความคิดแนวเดียว เพราะความยั่งยืนไม่สามารถทำเพียงลำพัง ไม่สามารถจำกัดอยู่เพียงในโรงงานหรือภายในรั้วองค์กร หากแต่ต้องแผ่ขยายสู่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงขับเคลื่อนแนวทางนี้ผ่านโครงการ ‘อ้อยยั่งยืน’ที่มุ่งยกระดับทั้งเกษตรกรและระบบเกษตรกรรมให้เติบโตบนรากฐานของสิ่งแวดล้อมที่สมดุล โดยภายใต้โครงการนี้ได้มีการสนับสนุนให้เกษตรกรลดการเผาไร่อ้อย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญด้านมลพิษ โดยให้การสนับสนุนให้เกษตรกรใช้รถตัดอ้อยและ TSM Group จะรับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกรเพื่อนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าภายในโรงงาน ถือเป็นการลดการเผาและยังเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีกด้วย พูดง่ายๆ คือเปลี่ยนใบอ้อยที่เคยถูกเผาทิ้งโดยเกษตรกรให้กลายเป็นพลังงานสะอาด นอกจากนี้ TSM Group ยังแจกขี้หม้อกรองหรือ Filter Cake จากกระบวนการการผลิตพลังงานหมุนเวียน กลับไปให้เกษตรกรใช้ในการบำรุงดินในไร่ ช่วยเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และหมุนเวียนทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Circular Economy”

นอกจากนี้เพื่อความเท่าเทียมด้านองค์ความรู้ TSM Group ยังผลักดัน โมเดลเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) และจัดตั้ง โครงการ Open Farm เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และแหล่งเงินทุน สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืนในทุกระดับ ตั้งแต่ไร่จนถึงโรงงาน

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่มองความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่ต้องลงมือทำไปพร้อมๆ กันในทุกฟันเฟืองในห่วงโซ่คุณค่าต้องแข็งแรงและเติบโตไปพร้อมกัน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทั้งธุรกิจ เกษตรกร สังคม และสิ่งแวดล้อม

จากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ TSM Group จึงได้รับการรับรองมาตรฐานจาก VIVE Sustainable Supply Programme ซึ่งเป็นโปรแกรมพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำตาลอย่างยั่งยืนในระดับสากล โดยครอบคลุมการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานแบบภาคสมัครใจ ที่สามารถวัดผลได้จริง กำหนดเป้าหมายพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล และติดตามความก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์จากความพยายามทั้งหมดนี้ ไม่เพียงสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธุรกิจควบคู่กันไป แต่ยังสะท้อนชัดถึงแนวทางของ TSM Groupที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพูดถึงความยั่งยืนหากแต่เป็นการลงมือทำจริง ในทุกมิติของธุรกิจ พร้อมผลักดันทั้งอุตสาหกรรมให้ก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกันทั้งองคาพยพ

Related Posts

Send this to a friend