FOOD - DRINK

‘แกร็บฟู้ด’ เผย 5 เทรนด์อาหารปี 68 ‘สาเก-ของว่าง-โปรตีน’ มาแรง

แกร็บฟู้ด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันสั่งอาหาร เผยรายงาน “เจาะลึกธุรกิจและเทรนด์ร้านอาหารปี 2025” (A Comprehensive Guide for 2025 Restaurateurs) ซึ่งเปิดตัวในงานประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025 โดยระบุถึง 5 เทรนด์อาหารที่น่าจับตามองในปี พ.ศ. 2568 พบว่า ‘สาเก’ กลายเป็นดาวรุ่งที่มาแรงในการจับคู่กับอาหาร ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น ขณะที่เทรนด์ของว่างหรือสแน็ก รวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระแส ‘โปรตีน-ซูเปอร์ฟู้ดฟีเวอร์’ นอกจากนี้ เมนูที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากต่างประเทศยังคงได้รับความสนใจ ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่พร้อมเปิดรับความแปลกใหม่ ต้องการความประทับใจ และติดตามกระแสอยู่เสมอ โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างกระแสและผลักดันให้แบรนด์หรือเมนูเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

รายงานฉบับดังกล่าวชี้ว่า “สาเก” เป็นวัตถุดิบที่วงการอาหารต้องจับตา ด้วยอิทธิพลของกระแสความนิยมในวัฒนธรรมเอเชีย (Asianization) ประกอบกับความนิยมอาหารญี่ปุ่นของคนไทย ทำให้สาเกพร้อมเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจในปีนี้ โดยเฉพาะการนำไปจับคู่กับอาหาร ซึ่งพบมากขึ้นในร้านอาหารสไตล์แคชวลไดนิ่ง คาดการณ์ว่าปีนี้อาจเห็นร้านอาหารแนว Sake Bar เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกระแสเนเชอรัลไวน์ก่อนหน้านี้ โดยร้านอาหารและบาร์ที่นำเสนอประสบการณ์สาเกในมุมมองใหม่ จะมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เปิดรับสิ่งใหม่ก่อนใครได้

ขณะเดียวกัน ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบส่งผลให้เทรนด์ “Snackification” หรือการรับประทานของว่างแทนมื้อหลัก กลายเป็นกระแสมาแรง ผู้บริโภคจำนวนมากมองหาเมนูขนาดพอดีคำที่สะดวก ให้พลังงานเพียงพอ และรองท้องได้ตลอดวัน หลายแบรนด์จึงนำเสนอเมนูที่สะดวกในการพกพาและรับประทาน (Grab & Go) เช่น บาร์ธัญพืช โอนิกิริ สลัดแร็ป หรือเส้นหมี่ไก่ฉีก พร้อมชูจุดขายด้านวัตถุดิบที่ให้พลังงานสูง ดีต่อสุขภาพ และบรรจุภัณฑ์ที่หยิบรับประทานง่าย เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนเมืองยุคใหม่

ด้านเทรนด์สุขภาพยังคงมาแรง โดยเฉพาะกระแส “โปรตีนฟีเวอร์” สะท้อนจากข้อมูลของร้าน PASH Juices ที่ระบุว่าเวย์โปรตีนเป็นท็อปปิ้งยอดนิยมอันดับหนึ่งสำหรับเครื่องดื่มสมูทตี้ ขณะที่วัตถุดิบโปรตีนสูงอย่าง เต้าหู้ กรีกโยเกิร์ต และถั่วต่างๆ ก็ได้รับความนิยมนำมาใช้ประกอบอาหารทั้งคาวหวาน สอดคล้องกับมูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือกที่เติบโตขึ้นจากปีก่อน รวมถึง “ซูเปอร์ฟู้ด” เช่น สาหร่ายสไปรูลิน่าในสมูทตี้สีฟ้า หรือ Sea Moss Gel เจลสาหร่ายทะเลสีแดงที่กำลังเป็นที่นิยม การเพิ่มเมนูหรือส่วนผสมเพื่อสุขภาพในรูปแบบที่น่าสนใจจึงเป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดลูกค้า

นอกจากนี้ เทรนด์ “Swavory” หรือการผสมผสานรสชาติหวานและคาว กำลังเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะในกลุ่มขนมและเครื่องดื่มที่มีการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ด้วยการเพิ่มลักษณะของรสคาวเข้าไป เช่น สมูทตี้โบวล์หน้ายำผลไม้รสจัดจ้านจาก Acai Story หรือน้ำแข็งใสที่ตัดรสด้วยซอสพริกจาก After You เทรนด์นี้ยังเปิดโอกาสให้แบรนด์ต่างวงการร่วมมือกันสร้างความแปลกใหม่ เช่นเดียวกับวงการค็อกเทลที่นำวัตถุดิบอาหารคาวมาใช้ การชูรสเค็มหวานแบบไทยๆ ไม่เพียงสร้างความแตกต่าง แต่ยังช่วยยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นและนำเสนอวัฒนธรรมอาหารไทยในมุมมองใหม่

สุดท้าย รายงานยังระบุถึงการจับกระแสจากต่างประเทศเพื่อต่อยอดความนิยม โดยในปีที่ผ่านมาเมนูไวรัลในไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ก่อนจะกลายเป็นกระแสหลักที่ขับเคลื่อนโดยแบรนด์และโซเชียลมีเดีย ก่อให้เกิดปรากฏการณ์การสร้างสรรค์เมนูคล้ายคลึงกันในวงการอาหาร เช่น สมูทตี้สีฟ้า หรือช็อกโกแลตดูไบ สำหรับปีนี้ เทรนด์เมนูจากต่างแดนยังคงมาแรงต่อเนื่อง เช่น ‘ชิโอะปัง’ หรือขนมปังเกลือ ซึ่งมียอดค้นหาบนแกร็บฟู้ดเพิ่มขึ้นถึง 66 เท่าในไตรมาสแรกของปีนี้ รวมถึง ‘ทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกง’ และการกลับมาของ ‘โยเกิร์ตซอฟเสิร์ฟ’ ร้านค้าที่ติดตามและปรับตัวตามกระแสได้รวดเร็วจะมีโอกาสสร้างจุดเด่นในตลาดได้

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat