CRIME

‘บิ๊กโจ๊ก’ แถลงจับกุมกลุ่มเสือจีนเทา ส่วน ‘ตู้ห่าว’ ให้การปฎิเสธ เตรียมขอศาลฝากขัง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีม แถลงข่าวการขยายผลปฎิบัติการ และดำเนินคดีกับกลุ่มทุนจีนสีเทา เผย สามารถจับกุม 3 ใน 5 กลุ่มเสือจีนเทา ส่วน ‘ตู้ห่าว’ ยังให้การปฎิเสธ เตรียม นำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง และคัดค้านการประกันตัว

วันนี้ (23 พ.ย. 65) เวลา 15:00 น. ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(สส.) นำทีมแถลงผลการปฏิบัติ การดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุนจีน และนอมินี ร้านจินหลิง ผับเบเบี้เฟซ ท็อบวัน และคลับวัน รวมปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น 5 ครั้ง 75 จุด 20 จังหวัด พร้อมยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ ทั้ง เงินสด รถยนต์หรู เครื่องประดับ มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า จากกรณีในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการเข้าตรวจสอบสถานบริการที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันคือ นายทุนจีนเป็นเจ้าของ และใช้คนไทยเป็นนอมินี จำนวน 4 แห่ง ได้แก่

1 ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา ภายหลังจากเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร้านจินหลิง ถนนเจริญราษฎร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม. ผลการตรวจค้นพบสารเสพติดในปัสสาวะของนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก และพบยาเสพติดอยู่ภายในร้านจำนวนมาก

จากกรณีดังกล่าว ได้มีการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย คือ นายหวง ไห่ เถา หรืออาหวง พร้อมยึดของกลางเป็นยาเสพติดประเภท เฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีไว้จำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาเที่ยวที่ร้าน และยังตรวจค้นจุดต้องสงสัยอีกกว่า 38 จุด ตรวจยึดรถหรู 5 คัน และเงินอีก 19 ล้านบาท

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลเกี่ยวกับยาเสพติด จนสามารถออกหมายจับ และจับกุมดำเนินคดีเพิ่มเติม รวมทั้งหมด 4 ราย ได้แก่

  1. นายหวง ไห่ เถา หรือ อาหวงสัญชาติจีน
  2. นายเจียง ไต่ หลิน หรือเสี่ยหลิน สัญชาติจีน
  3. นายเหมา ยะ ฉวง หรืออาฉวง สัญชาติจีน
  4. นายหวัง เจี้ยน หัว หรืออาหัว สัญชาติจีน

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด”

หลังจากจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 รายแล้ว เจ้าหน้าที่สืบสวนยังรวบรวมพยานหลักฐานและพบความเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น จนสามารถขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 ราย ได้แก่

  1. นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว
  2. นายหยาง เฉิน หรืออาหยาง สัญชาติจีน

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองราย

2 ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร จากกรณีเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ได้มีการแถลงผลการดำเนินคดีกรณีพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีน คือ น.ส.โหยว ซื่อ หัว อายุ 31 ปี ซึ่งไปเที่ยวที่ร้านท็อปวัน เมื่อว้นที่ 16 ก.ย.65 ต่อมาได้เสียชีวิตลงเนื่องจากเสพยาเกินขนาด ซึ่งได้มีการสืบสวนและจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซุกซ่อนอำพรางหลักฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตดังกล่าวไปแล้วจำนวน 4 ราย ตามที่สื่อมวลชน และโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้ว

จากสาเหตุการเสียชีวิตดังกล่าว จึงเป็นเหตุอันควรสงสัยว่า สถานบันเทิงดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบเกี่ยวกับเจ้าของ และผู้เกี่ยวข้องโดยละเอียดว่ามีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือการกระทำผิดอื่นๆ หรือไม่

จากการตรวจสอบพบว่า สถานบันเทิงดังกล่าวได้มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ แต่นายทุนจีนดังกล่าว ได้แสดงออกโดยชัดเจนว่าตนมีความเป็นเจ้าของ ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นจำนวน 2 ราย ได้แก่

  1. นายวีรยุทธ แซ่หย้าง อายุ 23 ปี
  2. นายจาง เจี้ยนกุ้ย อายุ 48 ปี สัญชาติจีน

การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และยังดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้มีออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายมาดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

3 ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน เมื่อวันที่ 1 พ.ย.65 เวลา 01:00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนจำนวน 6 แห่ง รวมทั้งร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน ซึ่งผลการตรวจสอบภายในร้านพบสารเสพติดในนักท่องเที่ยวภายในร้านจำนวน 2 ราย จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ร้านดังกล่าวมีเจ้าของเป็นบุคคลสัญชาติจีนซึ่งมีคนไทยเป็นนอมินี จึงได้ทำการขยายผลจนทราบว่า เจ้าของสัญชาติจีนดังกล่าวคือ นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด เป็นเจ้าของ

จึงได้ขออนุมัติศาลเข้าค้นที่พักของนายเดวิด ที่บ้านเลขที่ 94 และ 96/1 ซอยสุขุมวิท 63 แขวงพระโขนง เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ผลการตรวจค้นพบสุราต่างประเทศ 24 ขวด ไวน์ต่างประเทศ 28 ลัง บุหรี่ต่างประเทศจำนวน 45 คอตตอน บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์จำนวน 15 กล่อง และอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก จึงได้จับกุมนายเดวิด พร้อมของกลางดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ

จากการขยายผลเพิ่มเติมพบว่า นอกจากนายเดวิดซึ่งได้จับกุมดำเนินคดีแล้วนั้น ยังมีกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ราย โดยเป็นกลุ่มคนจีนมาลงทุนและใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี ซึ่งคนไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ในการทำธุรกิจดังกล่าว มีหน้าที่เพียงลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ และได้รับเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมรวมทั้งที่จับกุมแล้วรวม 4 ราย ประกอบด้วย

  1. บริษัท พอง แบงค็อก จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล)
  2. นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด อายุ 47 ปี
  3. นายจู้ เฉิน สัญชาติจีน
  4. นางทองใส เฉิดลออ

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายฯ โดยมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจตนแต่ผู้เดียวหรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ฯ” โดยได้ดำเนินการจับกุมนายเดวิด และนายจู้ เฉิน แล้วรวม 2 ราย ที่เหลืออยู่ในระหว่างติดตามจับกุม

4 ร้านคลับวัน พัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร้านคลับวัน พัทยา เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งพบยาเสพติดจำนวนมากภายในร้านดังกล่าว และได้มีการจับกุมผู้ดูแลร้านจำนวน 1 ราย ดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด และเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ร้านดังกล่าวเป็นสถานบริการที่มีการกระทำผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้มีสืบสวนหาเจ้าของร้านที่แท้จริงเพื่อนำมาดำเนินคดีจนทราบว่า ร้านดังกล่าวมีบริษัท เดอะ ซิกเนเจอร์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจการดังกล่าว ซึ่งมีกรรมการและผู้ถือหุ้นจำนวน 4 ราย ได้แก่

  1. นายมนู อายุ 37 ปี
  2. นายสุนทร อายุ 68 ปี
  3. นายนิติพัฒน์ อยุ 45 ปี
  4. นายแบ้งค์ อายุ 46 ปี

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดทั้งในฐานะนิติบุคคลและฐานะส่วนตัวรวม 5 หมายจับ 4 บุคคล โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันเปิดสถานบริการเกินเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวง, ร่วมกันจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด, ร่วมกันยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการและผู้ได้รับอนุญาตตั้งสถานบริการ ย้าย แก้ไข เปลี่ยนแปลง (เปลี่ยนชื่อ) สถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งสามารถติดตามจับกุมมาดำเนินคดีได้ทั้งหมดแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวทั้ง 4 คดีนี้ มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันทั้งหมดคือ เป็นสถานบันเทิงที่มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้คนไทยมาเป็นนอมินีบังหน้า และยังมีเชื่อมโยงกับการกระทำผิดประเภทอื่นๆ เช่น ยาเสพติด บ่อนการพนัน หรือคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบขยายผลต่อไป หากพบความเชื่อมโยงก็จะดำเนินคดีทั้งหมดไม่มียกเว้น

นอกจากนี้ กลุ่ม 5 เสือจีนสีเทา ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย สามารถจับกุมตัวการใหญ่ไปแล้ว 3 กลุ่ม คือ นายตู้ห่าว / นายเดวิด / และนายยู่ ฉาง เฟย ส่วนกลุ่มที่ 4 คือนายโทนี่ และนายจอห์นนี่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อเอาผิด และกลุ่มที่ 5 คือ นายหมิง ซึ่งขณะนี้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว

ส่วนกรณีที่ นายตู้ห่าว เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสอบในวันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้นนายตู้ห่าว ยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น แต่ทางตำรวจมีหลักฐานว่านายตู้ห่าวมีการเดินทางเข้าออกผับจินหลิงอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งเป็นผู้เช่าอาคารสถานที่ เชื่อได้ว่านายตู้ห่าวอยู่เบื้องหลังในการสั่งการ และบริหารผับจินหลิง ซึ่งหากการสอบสวนแล้วเสร็จจะควบคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ฝากขังต่อไป และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุอีกว่า จากการตรวจสอบบ้านพักย่านตลิ่งชันของนายตู้ห่าว เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายภายในบ้าน พบภรรยาของนายตู้ห่าวที่อยู่ในบ้าน มียศเป็นพันตำรวจเอก สังกัดกองการต่างประเทศ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี และจากการสอบสวนเบื้องต้นไม่พบว่าภรรยาของนายตู้ห่าวมีความเชื่อมโยงในการกระทำความผิด แต่อย่างไรก็ตามการสอบสวนจะมีการขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ส่วนกรณีที่นายตู้ห่าวมีความสนิทสนมกับอดีตรัฐมนตรี และเคยบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ เบื้องต้นพรรคการเมืองไม่ทราบเจตนาที่มาของเงิน ส่วนความเชื่อมโยงระหว่างนายตู้ห่าวและอดีตรัฐมนตรีจะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินอีกครั้ง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเปิดเผยถึงการจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมให้ความช่วยเหลือทางคดีกับผู้ต้องหาผับจินหลิง คือ รองผู้กำกับจราจร สน.ลาดพร้าว และพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 นาย พี่ปล่อยตัวผู้ต้องหาไปโดยมิชอบ และล่าสุดคือ พันตำรวจเอก ณัฐพล โกมินทรชาติ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 รักษาราชการแทนผู้กำกับการ สน.ยานนาวา ในความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังสอบสวนพบว่ามีการปล่อยคืนรถหรูทั้งหมด 4 คัน ที่เป็นของกลางในผับจินหลิงให้ผู้ต้องหา โดยแลกกับผลประโยชน์คันละ 2 ล้านบาท

โดยในระหว่างการแถลงข่าว นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้นำเอกสารสำคัญเพิ่มเติมมามอบให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งในเอกสารเป็นข้อมูลเกี่ยวกับนอมินีของนายตู้ห่าว ซึ่งเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของนายตู้ห่าวชื่อพัชรรินทร์ มีอาชีพขายเครื่องครัวย่านพระราม 4 แต่มีทรัพย์สินมากมายหลายพันล้านบาท ขอให้ตรวจสอบทรัพย์สินก่อนจะมีการโยกย้ายถ่ายเทไปที่อื่น เนื่องจากภรรยาคนนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ชอบสะสมนาฬิกาหรู

และกล่าวทิ้งท้ายถึงพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยขอเร่งดำเนินคดี เพราะสังคมจับจ้องมองเรื่องนี้อยู่ ส่วนตนเองถือว่าทำในฐานะพลเมืองคนดี และหลังจากนี้ก็คงหมดหน้าที่ของตนแล้ว

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat