ตร. แถลงความคืบหน้ากรณีตรวจยึดเรือบรรทุกน้ำมัน คาดมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้ากรณีตรวจยึดเรือบรรทุกน้ำมันของกลางที่หลบหนีไป คาด มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
วันนี้ (20 มิ.ย. 67) เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีการสืบสวนสอบสวนกรณีการตรวจยึดเรือบรรทุกน้ำมันของกลางที่หลบหนีไป ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2567 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) จับกุมเรือ บ.ดิวันมารีนทัวร์ พร้อมน้ำมันเถื่อน 104,000 ลิตร จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย บริเวณท่าเทียบเรือ กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี (พบเรือที่เกาะทะลุ จ.ระยอง) จากการซักถามลูกเรือรับว่า รับน้ำมันเถื่อนมาจากเรือใหญ่จำนวน 2 ลำ บริเวณกลางอ่าวไทย ใกล้แท่นขุนเจาะน้ำมันจัสมิน จึงสืบสวนขยายผลกรณีดังกล่าวเรื่อยมา
ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2567 ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต และเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า จับกุมผู้ต้องหา 28 คน พร้อมของกลาง เรือบรรทุกน้ำมัน 5 ลำ และน้ำมันรวม 325,000 ลิตร โดยกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) มอบหมายให้ กองบังคับการตำรวจน้ำเป็นผู้ดูแลรักษาเรือบรรทุกน้ำมันและน้ำมันเชื้อเพลิงของกลางไว้ที่สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
จากนั้นวันที่ 5 มิถุนายน 2567 วันที่ 9 มิถุนายน 2567 มีพายุฝนฟ้าคะนอง เกิดกระแสลมแรง ทำให้ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ไม่สามารถรับน้ำหนักเรือของกลางทั้งหมดได้ และเกรงว่าเรือของกลางและท่าเทียบเรือจะได้รับความเสียหาย จึงให้เรือของกลาง 4 ลำ ได้แก่ เรือ เจ.พี. เรือกำไรเงิน หรือ ซีฮอส เรือดาวรุ่ง และเรือกำไรเงิน (เหล็ก) ออกไปทิ้งสมอในระยะปลอดภัย โดยมีระยะห่างจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ ประมาณ 100 เมตร กระทั่งวันที่ 12 มิถุนายน เวลา 06.00 น. พบว่าเรือทั้ง 3 ลำ คือ เรือ เจ.พี. เรือกำไรเงิน และเรือดาวรุ่ง หายไป
ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ และผอ.ศปนม.ตร. สั่งการให้ บช.ก.ลงพื้นที่เร่งสืบสวนหาข่าว แสวงหาพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว
กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม สอบสวนพบว่าเรือทั้ง 3 ลำ เคลื่อนหายออกจากบริเวณท่าเรือตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2567 เวลาประมาณ 20.11 น. โดยมีคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 15 คน เป็นลูกเรือเดิม 14 คน และลูกเรือใหม่ 1 คน เชื่อว่ามีกลุ่มผู้อิทธิพลอยู่เบื้องหลังเป็นผู้สั่งการ คอยให้การสนับสนุน
ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2567 เจ้าหน้าที่กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ยื่นคำร้องขอหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 20.00 น. ตำรวจน้ำควบคุมเรือทั้ง 3 ลำ พร้อมตัวลูกเรือ 8 คน เข้าท่าเทียบเรือ กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ (สงขลา) จากการตรวจสอบเบื้องต้น เป็นเรือของกลางที่ได้หายไป พร้อมน้ำมันที่มีค่ากำมะถันเกินกว่ากฏหมายกำหนด จำนวน 18,000 ลิตร จึงแจ้งข้อกล่าวหา
1.ร่วมกันลักทรัพย์ ในเวลากลางคืน โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
2.ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินหรือเอกสารใดๆ อันเจ้าพนักงานได้ยึด รักษาไว้ หรือสั่งให้ส่งเพื่อเป็นพยานหลักฐาน หรือเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายไม่ว่าเจ้าพนักงานจะรักษาทรัพย์หรือเอกสารนั้นไว้เองหรือสั่งให้ผู้นั้น หรือผู้อื่นส่งหรือรักษาไว้ก็ตาม และเพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด
กรณีนี้ กองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการตำรวจน้ำ มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดนอกราชอาณาจักร เนื่องจาก พ.ร.บ.เพิ่มอำนาจตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางน้ำ พ.ศ.2496 มาตรา 3 และมาตรา 5 ระบุให้อำนาจตำรวจน้ำ สามารถดำเนินการเกี่ยวกับเรือซึ่งใช้เดินทางออกไปสู่หรือเข้ามาจากทะเลหรือระหว่างราชอาณาจักรกับดินแดนต่างประเทศได้