CRIME

‘ชูวิทย์’ แฉมีผู้บริหาร ปปง.โยงกลุ่มทุนจีน จี้ บอร์ด ปปง.ลาออก ขู่ หากนิ่งเฉยเตรียมเปิดหลักฐานเพิ่ม

‘ชูวิทย์’ จัดหนัก แฉมีผู้บริหาร ปปง.เชื่อมโยงกลุ่มทุนจีน เพิกเฉยไม่สอบฟอกเงิน จี้ บอร์ด ปปง. ลาออกยกคณะก่อนสิ้นปี ขู่ หากยังนิ่งเฉย เตรียมเปิดหลักฐานเพิ่ม

วันนี้ (16 ธ.ค. 65) เวลา 14:00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวสรุปคดีสถานบันเทิงจินหลิงของ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว พร้อมเปิดหลักฐานเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนจีนสีเทาของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเรียกร้องให้บอร์ดบริหาร ปปง.ลาออกทั้งคณะภายในสิ้นปีนี้

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ร่วมรับประทานอาหารกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพูดคุย และทำความเข้าใจในหลายเรื่องเกี่ยวกับคดี ภายหลังจากที่นายชูวิทย์ เดินหน้าเปิดหลักฐานของกลุ่มทุนจีนสีเทา และการเอื้อประโยชน์ให้กับทุนจีนสีเทาของเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณ ผบ.ตร .และ รอง ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้

นายชูวิทย์ กล่าวว่า กลุ่มทุนจีนสีเทาเริ่มจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และเริ่มกระจายไปที่หน่วยงานอื่นๆ ซึ่งหากย้อนไปตั้งแต่วันที่ตนเปิดเผยเรื่องทุนจีนสีเทา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา และได้เก็บข้อมูลต่างๆ ไว้นาน จนสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติเหล่านี้

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า จากจำนวนประชากรจีน 1,400 ล้านคน ตนเองเชื่อมั่นว่าในจำนวนนี้ 5% หรือประมาณ 7 ล้านคนอาจเป็นกลุ่มทุนจีนสีเทา โดยบุคคลเหล่านี้จะเลือกไปลงทุนกับประเทศที่มีระบบราชการอ่อนแอ เพราะสามารถไปก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งเงินระดับมหาศาล เช่น เวียดนาม, กัมพูชา, สปป.ลาว, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยบุคคลเหล่านี้ถือพาสปอร์ต วานู อาตู และมอลต้า ซึ่งใช้เงินในการลงทุนกับประเทศเล็กๆ ก็ได้พาสปอร์ตไทย หรือประเทศที่มีระบบราชการอ่อนแอ และกลุ่มจีนเทาเหล่านี้ไล่ซื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อดำเนินการทำธุรกิจสีเทา จนผับจินหลิงกลายเป็นตัวปะทุที่ทำให้เราคนไทยได้เห็นระบบที่เลวร้าย

ส่วนคดีผับจินหลิง ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ดูแล นายชูวิทย์ ระบุว่า ยังรู้สึกคาใจในประเด็น ที่มีปล่อยผู้ต้องสงสัย 156 คน หลังตรวจไม่พบสาเสพติด จากจำนวนทั้งหมด 260 คน โดยมองว่า เป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะปล่อยไปด้วยเหตุผลที่ตรวจปัสสาวะแล้วไม่ใช่สีม่วง แต่สถานบริการที่พบนั้น มียาเสพติดเป็นจำนวนมาก ซึ่งควรปล่อยตัวไปหรือไม่

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ในวันเข้าจับกุม ผบช.น. นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปกี่นาย และรับมือไหวหรือไม่ ซึ่งนายชูวิทย์ มองว่าไม่มีการวางแผน ร่วมทั้งยังปล่อย นายเดวิด ฮอล์ และหลานของนายตู้ห่าว หนีไป และการแต่งตั้งให้ พ.ต.อ. รายหนึ่ง สังกัดสายอำนวยการ ให้มาเป็นกรรมการสอบสวนในคดีถือว่าเป็นการบกพร่องทางหน้าที่จนทำให้กระทบต่อคดีหรือหลักฐานหรือไม่

นายชูวิทย์ ตั้งข้อสังเกตอีกว่า คดีนายตู้ห่าวนั้นมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่หน่วยงาน ปปง. กลับเพิกเฉย ไม่ยอมตรวจสอบ ทั้งๆ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลส่งจดหมายไปสอบถามถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ ตนจึงได้ตั้งข้อสังเกตต่อว่า อาจเป็นเพราะมีผู้บริหารระดับสูงใน ปปง. ที่มีความสนิทสนมกับนายตู้ห่าว และนายหม่า เครือข่ายธุรกิจสีเทาหรือไม่ จึงไม่ออกมาร่วมตรวจสอบในคดีดังกล่าว

นายชูวิทย์ ระบุว่า มีหลักฐานยืนยันว่านายตู้ห่าวและนายหม่า ทั้งสองคนเคยไปที่ สำนักงาน ปปง. อยู่บ่อยครั้ง โดยขึ้นไปที่ชั้น 3 ของสำนักงาน ซึ่งเป็นภาพวงจรปิดที่ปรากฏภาพนายตู้ห่าวถือไวน์ขึ้นไป และมีหลักฐานว่าทั้ง 2 ฝ่ายเคยรับประทานอาหาร และดื่มไวน์ร่วมกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าวยังมีความร่ำรวยที่ผิดปกติ เพราะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้

นายชูวิทย์ ยังเปิดเผยถึงหลักฐานสำคัญ ที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. และนายตู้ห่าว รวมทั้งนายหลินหลง ว่ามีสติ๊กเกอร์ตราโล่ ของผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. ไปติดที่บริเวณหน้ารถตู้ของนายหลิงหลงเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งตนเองมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และขอเรียกร้องให้คณะกรรมการ ปปง. ลาออกยกคณะก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อรับผิดชอบในคดีดังกล่าว

นายชูวิทย์ กล่าวในช่วงท้ายว่า จนถึงวันนี้ ปปง. ยังคงเพิกเฉย ไม่ดำเนินการตรวจสอบทั้งๆ ที่เป็นเรื่องการฟอกเงิน พร้อมขู่ว่า หากหน่วยงาน ปปง. จะปฏิเสธความจริงดังกล่าว ตนเองยังมีหลักฐาน คือรูปภาพที่มีการชนแก้วไวน์มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน โดยหลังจากนี้ ตนจะนำพยานหลักฐานไปร้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ร้องต่อสมาชิกวุฒิสภา และสำนักงาน ป.ป.ช. โดยจะเสนอตัวเองเป็นพยาน และให้สอบตนในฐานะพยาน เพื่อชี้เบาะแสการกระทำความผิด กระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ตนไม่เกรงกลัวหากจะถูกฟ้องร้องไล่หลังที่ออกมาเปิดโปงในเรื่องดังกล่าว เพราะตนเป็นประชาชนคนไทยที่จ่ายภาษีอากรให้หน่วยงานรัฐทำหน้าที่ ฉะนั้นจะต้องทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

Related Posts

Send this to a friend