รมว.ดีอี- ตำรวจไซเบอร์ แถลงผลการจับกุมแก๊งหลอกดูดเงินตามแนวชายแดน

รมว.ดีอี- ตำรวจไซเบอร์ แถลงผลการจับกุมแก๊งหลอกดูดเงินตามแนวชายแดน แก๊งกล่องพัสดุลวง การซื้อขายอาวุธปืนออนไลน์ และขยายผลรับจ้างกดเงินผิดกฎหมาย

วันนี้ (15 ธ.ค. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย พลตำรวจโท วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมแถลงผลปฏิบัติการล้างบาง ทลายแก๊งแอปพลิเคชัน ดูดเงินแนวชายแดน ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมเครือข่ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโทรหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อ แล้วแอดไลน์เพื่อส่งลิงก์ให้กดดาวน์โหลดแอปหน่วยงานของปลอม ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้ควบคุมโทรศัพท์ทางไกล แล้วหลอกให้ผู้เสียหายใส่รหัสผ่าน เพื่อที่คนร้ายจะได้โอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียจนหมด โดยขบวนการกลุ่มนี้ได้สร้างความเสียหายรวมกว่า 12 ล้านบาท

จากการสืบสวน พบว่าขบวนการดังกล่าวมีความเชื่อมโยงหลายคดีในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่าเงินที่หลอกลวงผู้เสียหายถูกโอนต่อกันเป็นทอดๆ และเงินสดได้ถูกถอนออกในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และยังพบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารที่ใช้ในการกระทำความผิดรวมกัน ตั้งแต่เดือน มกราคม – ตุลาคม กว่า 670 ล้านบาท

ตำรวจที่เฝ้าสังเกตการณ์ พบว่ามีชายชาวกัมพูชา เดินข้ามชายแดนมา และถือบัตร ATM 4 ใบ มากดเงินจากตู้เอทีเอ็ม ในพื้นที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุม พบของกลางที่เป็นเงินสด 1 แสนบาท และเงินในบัญชีอีกกว่า 5 ล้านบาท และเมื่อตำรวจตรวจสอบในฐานข้อมูลระบบบริหารคดีออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าบัญชีธนาคารตามบัตรได้ถูกนำไปใช้เป็นบัญชีที่รับโอนเงินจากการหลอกลวงผู้เสียหายจำนวนหลายคดี และเกี่ยวเนื่องกันในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

พลตำรวจโทวรวัฒน์ ระบุว่า พฤติการณ์ที่กลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้ มีลักษณะเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน มีการร่วมกันวางแผนใช้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อสื่อสารกับประชาชนทั่วไปโดยการสุ่ม และเมื่อคนร้ายได้เงินแล้วจะมีการโอนเงินต่อ ๆ กันไปไม่ขาดช่วงผ่านบัญชีม้าแถวต่าง ๆ และจากการสืบสวน ทำให้ตำรวจออกหมายจับ ขบวนการดังกล่าว 26 หมาย จับกุมแล้ว 13 หมาย แบ่งเป็นคนไทย 12 คน เป็นบัญชีม้า และ 1 คน ชาวกัมพูชา ทำหน้าที่ตระเวณกดเงิน โดยทั้ง 13 คน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์โดยลวงเป็นเจ้าหน้าที่, ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน, ร่วมกันฉ้อโกง, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงิน, และความผิดฐานฟอกเงิน และหลังจากนี้ตำรวจจะขยายผลถึงเส้นทางการเงินว่ามีการโอนไปยังบุคคลใด หรือส่งต่อไปยังประเทศไหนอีกหรือไม่

นายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับและสั่งการให้ตำรวจไซเบอร์เร่งกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิด เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแก๊งคอลเซนเตอร์ รวมถึงจัดตั้งศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ที่ร่วมกันหน่วยงานอื่นๆ ทั้งธนาคาร กสทช. ตำรวจ ในการประสานข้อมูลเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าว

ทั้งนี้ ยังมีการปฏิบัติการจับกุมอีก 3 คดี ได้แก่ การลักลอบซื้อขายอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยจับกุมนายปฏิพัทธ์ อายุ 25 ปี ได้ที่บ้านหลังหนึ่งย่านอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมของกลางอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวน 11 รายการ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาในฐานความผิด มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

คดีต่อมาคือการปฎิบัติการจับกุมผู้ต้องหาส่งพัสดุเพื่อหลอกเก็บเงินปลายทางโดยที่ไม่ได้สั่งซื้อ และส่งสินค้าที่ไม่ตรงปก จับกุมนายอนุศาสน์ อายุ 25 ปี ในความผิดฐาน ฉ้อโกงพร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือจำนวน 6 เครื่อง โน๊ตบุ๊ก 1 เครื่อง และสินค้าที่ใช้บรรจุพัสดุสำหรับหลอกเก็บเงินปลายทาง ได้แก่ ครีมบำรุงผมไม่มียี่ห้อ 42 ขวด, เคราตินบำรุงผม 24 กระปุก, รองเท้า 60 คู่, กระดาษชำระ 1 แพ็ค 5 ห่อ, แก้วน้ำเก็บความเย็น 1 ชิ้น จับกุมได้ภายในบ้านหลังหนึ่งในอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

สำหรับคดีสุดท้าย สามารถจับกุมนายปานเพชร และนางสาวธัญญารัตน์ ในความผิดฐาน รวมกันเป็นผู้ใช้และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามก ได้ที่บ้านหลังหนึ่งย่านรามอินทรา โดยทั้ง 2 คน ทำหน้า ไปกดเงินจากบัญชีม้า เพื่อไปจ้างแอดมินเว็บโป๊ในออนไลน์ โปรโมทเว็บพนัน พบมีกดเงินสดจากบัญชีม้า 73 ใบ มียอดเงินหมุนเวียนเดือนละประมาณ 20 ล้านบาท และหลังจากนี้จะขยายผลกระบวนการดังกล่าวต่อไป