CRIME

เปิดคำสั่งอัยการสูงสุดชี้ขาดให้ฟ้อง ‘ชัยวัฒน์’ และพวก “ร่วมกันฆ่า บิลลี่” โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

เปิดคำสั่งอัยการสูงสุดชี้ขาดให้ฟ้อง ‘ชัยวัฒน์’ และพวก ฐาน “ร่วมกันฆ่า บิลลี่” นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย

วันนี้ (15 ส.ค. 65) นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่ง ชี้ขาดความเห็นเเย้งให้ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คนฐาน ร่วมกันฆ่า นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และอีกหลายข้อหา

ขณะที่ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องคดีจริงโดยขั้นตอนหลังจากนี้ สำนวนได้ถูกส่งมายัง นายพรชัย ชลวาณิชกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ โดยอธิบดีจะจ่ายสำนวนไปให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ1 เพื่อออกหมายนัดตัวนายชัยวัฒน์กับพวก ผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลต่อไป

สำหรับเอกสารที่ นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ลงนามเอกสาร ระบุถึง สำนักงานอัยการสูงสุด ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ส่งถึง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI มีคำสั่งชี้ขาดฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และพวก รวม 4 คน ประกอบด้วย นายบุญแทน บุษราคัม นายธนเสฎฐ์ หรือ ไพบูลย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ใน 4 ข้อหา ประกอบด้วย

1.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่ตามที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนกระทำไว้

2.ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจโดยให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง

3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

4.ร่วมกันทุจริตหรืออำพรางคดี กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะมำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ตามอัยการสูงสุดไม่ได้มีคำสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ นายบุญแทน และนายไพทูรย์ ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันปิดบังทรัพย์เป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอม ทำลายทรัพย์สินผู้อื่นฯ และไม่ฟ้องนายกฤษณพงษ์ ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินผู้อื่นโดยทุจริตฯ

ถือเป็นคำสั่งฟ้องที่เกิดขึ้นหลังจาก นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบางกลอย หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 โดยมีผู้พบเห็นว่าคนกลุ่มสุดท้ายที่พบบิลลี่ คือนายชัยวัฒน์ และพวก เข้าจับกุมบิลลี่ ที่จุดตรวจในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยอ้างว่ามีน้ำผึ้งป่า ก่อนจะอ้างว่าได้ปล่อยตัวไปแล้วเพราะรถจักรยานยนต์

จึงเป็นที่มาของการออกตามหาตัว บิลลี่ ยาวนานกว่า 5 ปี และยื่นเรื่องต่อดีเอสไอให้เป็นคดีพิเศษ จนในวันที่ 3 ก.ย.2562 ดีเอสไอ โดยพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อดีตรองอธิบดีดีเอสไอในขณะนั้นได้แถลง พบหลักฐานสำคัญ เชื่อมโยงคดีการหายตัวไปของ บิลลี่ โดยเฉพาะการพบถังน้ำมัน และกระดูกมนุษย์ศรีษะมนุษย์ และเหล็กเส้น บริเวณใต้น้ำสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน โดยนำกระดูกมนษย์มาตรวจ DNA พบตรงกับแม่ของ บิลลี่ และตั้งขอสงสัยจากหลักฐานว่าเป็นพฤติกรรมเข้าข่ายการ ฆาตกรรม ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐาน

ผ่านมา 3 ปี อัยการสูงสุดได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งชี้ขาดสั่งฟ้อง นายชัยวัฒน์ และพวก ทั้ง 4 คน ไปยัง DSI แล้ว ส่วนคดีการหายตัวไปของ บิลลี่ ผ่านมา 8 ปี กำลังเดินทางมาใกล้ถึงคำตอบแล้ว

Related Posts

Send this to a friend