CRIME

ทนายสายหยุด เผย ภรรยา ‘ทนายตั้ม‘ ยัน ไม่รู้เห็นแม้เป็นสามีภรรยากัน

ชี้ มีอาการเครียด วิตกกังวลคิดถึงลูก ถามเมื่อไหร่จะได้ประกันตัว ส่วน ‘ทนายตั้ม‘ เตรียมเข้าเยี่ยมพรุ่งนี้ เจ้าตัวสั่งไม่ขอให้ประกันจนกว่าจะถึงการพิจารณาคดี

วันนี้ (11 พ.ย. 67) เวลา 15:30 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเยี่ยมนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา โดยระบุว่า วันนี้ตนเองติดงานในช่วงเช้า ทำให้กว่าที่จะเข้ามาเยี่ยมลูกความในเรือนจำก็เป็นเวลาเกือบ 14:00 น. จึงตัดสินใจไปเยี่ยม ภรรยาของนายษิทรา ที่ทัณฑสถานหญิงกลางก่อน เนื่องจากนายษิทราฝากเอาไว้ว่า หากจะประกันตัวหรือจะทำอะไร ให้ไปหาภรรยาก่อน

นายสายหยุด กล่าวต่อว่า ในการเข้าเยี่ยมได้พูดคุยกันประมาณ 15 นาที ภรรยานายษิทรามีอาการเครียด และวิตกกังวล เป็นห่วงคนข้างนอก และคิดถึงลูก โดยภรรยาของนายษิทราได้ฝากข้อความไปบอกลูก และฝากตนเองว่า จะให้ใครเข้ามาเยี่ยมบ้าง รวมถึงมีการสอบถามเรื่องการประกันตัว แต่ตนเองก็ตอบกลับไปว่า ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เนื่องจากต้องรอให้พ้นฝากแรก 12 วันไปก่อน

อีกทั้ง ตนเองก็ได้บอกกับภรรยาของนายษิทราไปว่า “ไม่ต้องกังวล ทำใจให้สบาย อย่าเจ็บป่วย และต้องอยู่ให้ได้” ซึ่งตนเองมาเยี่ยมคนบ่อย มีประสบการณ์ว่าข่าวคราวเรื่องอะไรที่ไม่ดีจากข้างนอกก็จะไม่แจ้งกับลูกความ เพราะลูกความจะมีความกังวลอยู่เดิมแล้ว

นายสายหยุด กล่าวถึงเรื่องคดีของภรรยานายษิทรา โดยให้ข้อมูลกับตนเองเพียงอย่างเดียวว่า มีการตกลงกับนายษิทราเอาไว้ในการแต่งงานว่า หากมีอะไรต้องโอนเป็นชื่อของตน ซึ่งกรณีที่นายษิทราๅถูกแจ้งข้อกล่าวหา ภรรยาก็ไม่ทราบเลยว่าไปทำอะไร รู้เพียงว่าไปรับโอนที่ดินโดยนายษิทราเป็นคนซื้อแคชเชียร์เช็คไปในวันรับโอน

เมื่อถามว่าสามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะไม่รู้ได้อย่างไร นายสายหยุด มองว่า บางคนก็ปกปิด ไม่จำเป็นจะต้องบอกทุกอย่างว่าไปทำอะไรมา นายษิทราก็เป็นทนายดัง การซื้อบ้านในราคา 30 ล้านปลายๆ ส่วนตัวมองว่าก็พอเป็นไปได้

นายสายหยุด ยืนยันว่า ขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การประกันตัวภรรยานายษิทรา ส่วนตัวของนายษิทราได้สั่งการไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะขออยู่ในเรือนจำจนกระทั่งพิจารณาคดี เนื่องจากษิทรา เป็นทนายความมา 20 ปี น่าจะพอทราบดีว่าส่วนของตัวเองนั้นขอประกันตัวได้ยาก

ส่วนก่อนหน้านี้ที่ตนเองเคยยื่นขอประกันตัวภรรยานายษิทราไปแล้วนั้น ศาลรับคำร้องแต่ไม่อนุญาตให้ประกัน ส่วนการยื่นขอประกันตัวในครั้งหน้าศาลจะอนุญาตหรือไม่ มองว่า ต้องดูหลายอย่างประกอบกัน ทั้งการสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน และพยานหลักฐานที่ฝ่ายตนเองจะนำมาประกอบคำร้องว่าภรรยาของนายษิทรา ไม่น่าจะทราบว่าเงินที่ได้นั้น ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งฝ่ายผู้กล่าวหาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าภรรยาของนายษิทรารู้หรือควรรู้ว่าเงินที่ได้รับมาจากการกระทำผิด โดยตอนนี้ตนเองยังมีหลักฐานเท่าเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เนื่องจากทำงานอื่นอยู่ด้วยก็เลยยังไม่ได้รวบรวมเพิ่มเติม

นายสายหยุด กล่าวอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ตนจะเข้าเยี่ยมนายษิทราในช่วงเช้า คงจะถามในเรื่องส่วนทั่วไป เมื่อพ้น 5 วันไปแล้วถึงจะคุยเรื่องคดี เพราะมองว่าการพูดคุยกันผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์แล้วไม่เป็นส่วนตัว

ส่วนกรณีเงิน 39 ล้านบาท ที่ตำรวจยังไม่เจอตัว “สากับนุ” มีความกังวลอะไรหรือไม่ นายสายหยุด ระบุว่า ขอไม่ก้าวล่วงดีกว่า เพราะคดีนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายษิทรา และตนเองก็ยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ วิพากษ์วิจารณ์ไปก็ไม่ดี โดยหากมีการออกหมายจับทั้ง 2 คนในภายหลังแล้วมีความเกี่ยวพันกับนายษิทรา มองว่าตามหลักกฏหมายแล้ว คนที่ซัดทอดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ก็เป็นพยานที่ฟังได้ยากเหมือนกัน ซึ่งตนเองก็ยังไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องนี้กับลูกความเช่นกัน

“ถ้าผมดูพยานหลักฐานของตำรวจ แล้วชัดเจนว่าลูกความผมกระทำความผิดจริง ผมไม่รับทำแน่นอน ถ้าผมดูแล้วอย่างที่เป็นข่าวว่ามีอันนั้นอันนี้มาแตะเชื่อมโยง ฟังดูว่าเขาผิดแล้วให้ผมไปสู้คดีผมคงไม่รับ เพราะทำคดีแพ้ผมไม่อยากทำ” นายสายหยุด กล่าว

ส่วนประเด็นเรื่องเงิน 71 ล้าน หรือ 2 ล้านยูโร ที่ก่อนหน้านี้ธงการต่อสู้คดีว่าจากให้โดย เสน่หามาเป็นให้วนการลงทุนนั้น นายสายหยุด เผยว่า เงิน 71 ล้าน ในคดีแพ่ง บอกไว้ว่า “ผู้ให้ให้ทรัพย์ ผู้รับรับทรัพย์” บอกไว้เพียงแค่นี้ แต่ต้องมาตีความว่า ที่นายษิทราบอกให้โดยเสน่หา นั้นมันเหมือนกับการไปขอเงินที่เจ๊อ้อยมาทำธุรกิจเลี้ยงครอบครัว ไปขอเขา 2 ล้านยูโร เจ๊อ้อยบอกว่า “ไม่มากนิ เดี๋ยวพี่ช่วย“ นายษิทราก็รับมา ซึ่งข้อเท็จจริง ตรงที่ว่า จะคืนเมื่อไหร่ หรือคืนอย่างไร ตรงนั้นหายไป ทำให้นายษิทราเข้าใจว่าให้โดยเสน่หา แต่ถ้าไม่ให้โดยเสน่หา ก็เทียบเคียงเป็นยืมหรือไม่ ซึ่งนี่เป็นความคิดของตน ส่วนที่นายษิทราไปพูดในรายการดัง พิธีกรไม่ใช่พนักงานสอบสวน นั้นไม่ใช่คำให้การ เขาพูดออกไปแบบนั้นผมก็ไม่รู้เขาคิดยังไง

อีกทั้ง เงินที่ได้เจ๊อ้อย นายษิทราก็ทำคนเดียว ไม่ได้ชวนใครมาลงทุน หรือตอนได้เงินมาก็ไม่ได้พูดว่าจะให้ผลตอบแทนเจ๊อ้อยเท่าไหร่ หรือ มีลักษณะการชวนลงทุน ซึ่งในคำให้การของนายษิทรา ตนก็มองว่า เมื่อไม่ได้มีการพูดเรื่องชักชวนลงทุน มันจะเป็นการหลอกตรงไหน ตนก็บอกว่า ถ้ายืมก็ยืม มาทวงตามกฎหมาย มันมีข้อกฎหมายยึดทรัพย์ ไม่ใช่มารวมทุกอย่างแบบนี้แล้วเอาเขาเข้าคุก แบบนี้ไม่น่าจะถูก

นายสายหยุด ย้ำอีกว่า นายษิทราไปขอเงินเจ๊อ้อยมาลงทุน ไม่ได้มีคำว่า “ยืม” และที่ผ่านมา เจ๊อ้อยก็ไม่ได้ทวงถามอะไรเลย ตั้งแต่ที่ยืมมาเมื่อช่วง มกราคม 2567 แต่เพิ่งจะมาทวงคืนเดือนกันยายน และตอนที่ไปขอเงินก็ไม่มีสัญญาอะไร และมองว่าหากบอกว่านายษิทราหลอกลวงเอาเงินมาลงทุน ทำไมถึงไม่มีการถามความคืบหน้า ผลตอบแทน หรืออะไรเลย ตนขอยืนยันว่า ไม่ใช่การร่วมลงทุน

เมื่อตอนที่เจ๊อ้อยมาทวง นายษิทราก็มาบอกกับตน ตนเองก็บอกว่า ก็รอไว้ละกัน เขามาฟ้องก็ไปไกล่เกลี้ยกัน

เมื่อถามถึงเงินที่กองปราบปรามยึดมาได้ เป็นเงินสด 28 ล้าน และบ้านมูลค่า 43 ล้าน รวมกันแล้วได้ 71 ล้าน ประเด็นนี้ตรงกับเงินที่นายษิทราไปขอเจ๊อ้อยมาใช่หรือไม่ นายสายหยุด กล่าวว่า ประเด็นนี้ ตนยังไม่ได้ถาม แต่ที่ทราบ แคชเชียร์เช็ก 2 ใบ 9 ล้าน และ 29 ล้าน รวมกัน 38 เกือบ 39 ล้านบาท ส่วนเงินสดในบัญชีที่อายัดไปตนไม่ทราบ ซึ่งตนถือว่าเป็นมาตรการยึดทรัพย์ของ ปปง. ถ้าเราสู้คดีหลักได้ เขาก็คืนให้

ทั้งนี้ ภายหลังนายสายหยุด ให้สัมภาษณ์เสร็จ ก็ได้เจอกับทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ออกมาจากเรือนจำ ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แจ้งข้อกล่าวหา 18 บอส บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เสร็จสิ้น ที่มารอให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยนายสายหยุด ได้เดินเข้าไปจับแขนให้กำลังใจด้วยท่าทีเป็นกันเอง และนายสายหยุด บอกกับนายวิฑูรย์ ว่า ถ้าทนายตั้มเขา “เจอกับบอสดิไอคอน ก็ฝากฝั่งบอสให้ดูแลพี่ตั้ม ก็ให้ปรับทุกข์กันนะ ข้างนอกก็ลืมซะ”

Related Posts

Send this to a friend