CRIME

ศาลสั่งจำคุก 10,000 ปี ‘แม่มณี-แฟนหนุ่ม’ ตุ๋นเหยื่อกว่า 2,500 ราย

ศาลสั่งจำคุก 10,000 ปี ‘แม่มณี-แฟนหนุ่ม’ ตุ๋นเหยื่อกว่า 2,500 ราย เสียหายกว่า1,300 ล้านบาท สุดท้ายจำแค่ 20 ปี ตามกฎหมาย ส่วนจำเลยอื่นศาลยกฟ้อง

วันนี้ (10 พ.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถนนรัชดาพิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีแชร์แม่มณี หมายเลขดำ อ. 167/2563 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ1 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.วันทนีย์ หรือเดียร์ ทิพย์ประเวช จำเลยที่ 1 นายเมธี หรือบอส ชิณภา จำเลยที่ 2 สองสามีภรรยา นายปิยะ หรือเป้ คีรีสุวรรณกุล จำเลยที่ 3 น.ส.พรสวรรค์ หรือฝ้าย ภูอินอ้อย จำเลยที่ 4 น.ส.ธวัลรัตน์ ทิพย์ประเวช จำเลยที่ 5 มารดา ของน.ส.วันทนีย์ จำเลยที่ 1 น.ส.วิไลวรรณ หรือมิ้น หงษ์ประชาทรัพย์ จำเลยที่ 6 น.ส.นิตยา หรือโบว์ พินนอก จำเลยที่ 7 นายบริภัทร เข็มรัตน์ จำเลยที่ 8 ได้ประกัน และนายปิยะเศรษฐ์ ธิโสภา จำเลยที่ 9 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงิน อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน

จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 9 มี.ค. 62 – 30 ต.ค.63 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้ง 9 ราย ได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระโดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เจตนาทุจริต หรือโดยการหลอกลวงได้ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ คอมพิวเตอร์โปรแกรมเฟซบุ๊ก (FACEBOOK) ประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงิน หรือร่วมลงทุนกับจำเลย โดยจะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษ โดยมีแผนการตลาดหรือรูปแบบการลงทุนจัดแบ่งออกเป็นวง จำนวนการลงทุน วงละ 1,000 บาท จะได้รับผลตอบแทน 930 บาท ต่อหนึ่งวง เมื่อครบกำหนด 9 เดือน นับแต่วันที่ลงทุน หรือวันที่ฝากเงินมายังบัญชีที่แจ้ง โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินที่ลงทุนพร้อมผลตอบแทนกลับไปจำนวน วงละ 1,930 บาท

ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 4 กับพวก ได้เปลี่ยนเป็นการลงทุนระยะสั้น อีกหลายระบบหลายครั้ง ซึ่งข้อความดังกล่าวล้วนเป็นเท็จ ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 4 กับพวก ไม่ได้จัดให้มีการออมเงินหรือร่วมลงทุน โดยได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นอุบายให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเท่านั้น จนเกิดความเสียหายแก่ประชาชนจำนวน 2,533 ราย รวมทั้งสิ้น 1,376,215,359 บาท โดยให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยให้กู้ยืม ของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ตั้งแต่อัตราร้อยละ 1,116-3,040.45 ต่อปี อันเป็นเท็จ ซึ่งการกู้ยืมเงินตามกฎหมาย ดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปีเท่านั้น โดยพวกจำเลยนำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต และเป็นการกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ยืมเกิน10 คนซึ่งมีจำนวนเงินกู้ยืมรวมกันตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันมิใช่การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน

ทั้งนี้การกระทำของจำเลยทั้งเก้าเป็นความผิด ต่างกรรมต่างวาระกันตามเหตุเกิดที่ทุกแขวงและเขต จังหวัดกรุงเทพมหานคร ทุกตำบลและอำเภอ จังหวัดอื่นๆ เกี่ยวพันกัน

ดังนั้นจำเลยที่1-2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยอื่นให้การปฏิเสธ ซึ่งศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหาย และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เบิกความยืนยันทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ 1-2 ร่วมกันมีพฤติการณ์ โฆษณาหลอกลวงประชาชนและผู้เสียหายจำนวนมากให้มาร่วมลงทุน โดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารจำเลยทั้งสอง ส่วนจำเลยที่ 3-9 เป็นลูกจ้างของจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำผิด จึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-2 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องจริงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำนวน 2528 กระทง จำคุกกระทง ละ 5 ปี รวม 12,640 ปี “จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 5,056 ปี 15,168 เดือน”

อย่างไรก็ตามกฎหมายคงจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี จึงจำคุกจำเลยที่ 1-2 ไว้คนละ 20 ปี และให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 3-9 พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

Related Posts

Send this to a friend