CRIME

ถอดรหัสความคิด และพฤติกรรมอาชญากรด้วยอาชญาวิทยา

เคยสงสัยหรือไม่ ว่าเหตุใดอาชญากร จึงก่อเหตุรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทรมาน ฆ่า หรือข่มขืนกระทำชำเรา พวกเขาคิดอย่างไรจึงกระทำสิ่งโหดร้ายเช่นนั้น ในขณะเดียวกันหลายครั้งเราพบว่าคนรอบตัวมักจะพูดถึงอาชญากรคนนั้นว่า “ลูกฉันเป็นคนดี” “พี่ผมเป็นคนดี” หรือในรายที่เป็นข่าวล่าสุด ที่พี่ชายระบุว่า “น้องผมไม่ใช่คนชอบเรื่องทางเพศ” ทั้งๆ ที่อาชญากรได้ก่อเหตุรุนแรง และล่วงละเมิดเด็กผู้หญิงอายุต่อกว่า 15 ปี จนติดคุกมาแล้ว และออกมาก่อเหตุซ้ำ

ในสมองของอาชญากรคิดอะไรและพฤติกรรมที่แสดงต่อคนในครอบครัวแตกต่างไปหรือไม่ ทำไมคนในครอบครัวถึงไม่สามารถมองออกได้เลยว่าเขามีพฤติกรรมที่มักใช้ความรุนแรงขืนใจและหมกมุ่นในเรื่องเพศ The Reporters พาผู้อ่านมาถอดรหัสสมองและพฤติกรรมของอาชญากร ด้วยการใช้ศาสตร์ที่เรียกว่า อาชญาวิทยา มาเป็นกรอบสำคัญในการแกะรอยสมองของผู้ต้องหาในคดีเหล่านี้และได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล ประธานหลักสูตรอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล มาช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับพฤติกรรมอาชญากร

อาชญาวิทยา ศาสตร์แห่งการหาสาเหตุและแก้ไขพฤติกรรมคนร้าย

ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ อธิบายว่า รากฐานของอาชญาวิทยามาจากสังคมวิทยา ศึกษาในเรื่องของ พฤติกรรมเบี่ยงเบนของมนุษย์ที่เบี่ยงเบนออกจากบรรทัดฐานสังคมต่อมาก็พยายามหาคำอธิบายที่ลงลึกว่าทำไมคนถึงกระทำความผิด และอาชญาวิทยาเป็นสาขาวิชาพูดถึง สาเหตุ เงื่อนไข ปัจจัยที่มันก่อให้เกิดการกระทำความผิดของบุคคล โดยที่ความมุ่งหมายเบื้องต้นเราต้องการทราบว่าถ้าเรารู้สาเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขในการกระทำผิดของคน เราสามารถเอาไปใช้ในการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการขจัดหรือการแก้ไข อย่างเช่นกระทำความผิดผลมาจากครอบครัวบ้านแตก Broken Home ก็สามารถรู้เงื่อนไขต่างๆ แล้วก็นำไปใช้

อาชญาวิทยากับการถอดรหัสพฤติกรรมอาชญากร

“คำอธิบายในเชิงอาชญาวิทยาในสมัยก่อน ซีซาร์ ลอมโบรโซ (Cesare Lombroso) เป็นนายแพทย์ที่เริ่มศึกษาลักษณะและหน้าตาของอาชญากร มากำหนดเป็นลักษณะและคำถามว่าอาชญากร Born to be criminal ไหม แต่ว่าก็ยังมีการศึกษาในหลายสาขาเช่น ชีววิทยา ชีวเคมี พันธุศาสตร์ ศาสตร์เหล่านี้ก็พอมีความเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการถอดรหัสของนักโทษข่มขืน เช่น คำว่ายีนส์นักรบ ยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ตัวอย่างคดีข่มขืนที่นำศาสตร์เหล่านี้มาใช้เช่นกรณีในอเมริกา ที่ปู่ พ่อและตัวเขาต้องโทษคดีข่มขืน เขาเลยบอกว่าตัวเขาน่าจะมีโครโมโซมหรือ DNA บางตัวที่ไวต่อการกระตุ้นทำให้มีโอกาสที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดและขอลดโทษโดยการอ้างทฤษฎีนี้ แต่ถามว่าศาสตร์เหล่านี้สามารถเป็นตัวถอดรหัสได้ไหม มันก็ยังเป็นการค้นคว้าแสวงหาเนื่องจากความลึกลับของมัน โดยหลายคนยังเชื่อว่ามีแต่ก็ยังเกิดความสงสัยและค้นคว้าต่อว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นต่อม receptor หรือ triggered”

จากคดีข่มขืนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้มีการศึกษาพฤติกรรมของอาชญากรมากมายโดยบทความ Thoughts and ideas ได้กล่าวถึง 4 ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นจิตใจของผู้ข่มขืน ได้แก่

  1. สิ่งแวดล้อมในวัยเด็ก เมื่อผู้ข่มขืนถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรุนแรง การข่มขืนก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของความรุนแรงที่
    ใช้
  2. เพื่อแสดงพลังความเป็นชายและความเกลียดชังต่อเพศอื่น การข่มขืนถือว่าเป็น ‘อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง’ เช่นกัน บ่อยครั้งการข่มขืนขึ้นอยู่กับความต้องการทางเพศของผู้ชาย แต่ยังเป็นเพราะความเกลียดชังต่อเพศหญิงและต้องการทำให้เสื่อมเสียด้วย โดยแนวคิดนี้ถือว่าได้รับอิทธิพลจากแนวความคิด เฟมินิสต์
  3. เติมเต็มความต้องการทางเพศ เมื่อไม่สามารถควบคุมความอยาก ความหมกมุ่นและความต้องการทางเพศได้ พวกเขาจะกลายมาเป็นคนที่คอยข่มขืนลูก แฟน ภรรยา จนกระทั่งคนแปลกหน้า
  4. เหตุการณ์ในอดีต สำหรับผู้ข่มขืนมักมีอดีตที่ไม่ดีเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรม เช่นเคยโดนผู้หญิงปฏิเสธ จึงทำให้ผู้คนข่มขืนเกิดความรู้สึกโกรธและคับแค้นใจจนก่อเหตุในที่สุด
ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล ประธานหลักสูตรอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล

พฤติกรรมทั่วไปของผู้กระทำ

จากบทความ Made for Minds ก็ได้มีการกล่าวถึงประเภทผู้ข่มขืนดังนี้ ผู้ข่มขืนที่ฉวยโอกาส ผู้ข่มขืนซาดิสม์ซึ่งมีแรงจูงใจในการทำให้อับอายและทำให้เหยื่อเสื่อมเสีย ผู้ข่มขืนที่อาฆาตแค้นมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงโดยตรง ผู้ข่มขืนเชื่อว่าเขามีสิทธิทำร้ายผู้หญิง เพราะเขารู้สึกว่าเขาเคยถูกทำร้าย ถูกปฏิเสธ หรือในอดีตเคยถูกผู้หญิงทำร้าย และผู้ข่มขืนทั่วไปมักปฏิเสธว่าไม่ได้ข่มขืนเหยื่อและพยายามหาเหตุผลเพื่อแก้ต่างอยู่บ่อยครั้ง เช่นเหยื่อแต่งตัวยั่วยวน เข้าข่ายโรคหลงตัวเองคิดไปเองคิดว่าผู้หญิงมีใจให้

“เป็นเรื่องปกติของคนกระทำผิด ลักษณะนึงที่พบคือการตำหนิคนอื่น ต่างประเทศมีทฤษฎีนึงว่าผู้กระทำความผิดมักไม่โทษตัวเอง แต่เลือกโทษเหยื่อ เช่น เหยื่อยั่ว หรือเหยื่อสมควรโดน อันนี้ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมในการพยายามหาคำอธิบายในเรื่องที่เขากระทำลงไป ทั้ง ๆที่เป็นเรื่องไม่สมควรทำ” ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์

การเลือกเหยื่อ

ข่าวข่มขืนที่เกิดขึ้นและมีให้พบเห็นอยู่บ่อยครั้งนั้นส่วนใหญ่แล้วเกิดมาจากคนในครอบครัว โดยกลุ่มคนเหล่านี้อาศัยจังหวะและโอกาสเพื่อใกล้ชิดเหยื่อในบางครั้งก็เกิดการล่วงเกินเกิดขึ้น อีกทั้งสารเสพติด ยากระตุ้น ก็เป็นปัจจัยหรือแรงกระตุ้นให้ก่อเหตุ

“คดีส่วนใหญ่มีการเลือกข่มขืนคนใกล้ตัว ร้อยละ 75-80 อาจจะดูจังหวะโอกาส เช่นเพื่อน และในกลุ่ม พ่อ พ่อเลี้ยง ลุง โดยลักษณะของคนกลุ่มเหล่านี้คือ พวกใกล้ตัว ใกล้ชิดเป็นลูกเป็นหลานก็แอบกอดแอบจับและถือโอกาสล้ำเส้น พวกสองคือพวกพึ่งพิง ผู้ข่มขืนก็จะรู้ว่าเมื่อข่มขืนแล้วเหยื่อจะไม่มีที่ไป อีกอย่างก็คือพวกเหมารวมเช่นเวลาลูกหลานมานั่งใกล้มากอดโดยเด็กไม่ได้คิดอะไรก็จะอาศัยโอกาสประกอบกับการใช้สารเสพติด อีกทั้งงานวิจัยของไทยยังพบว่ากลุ่มคนที่ดูหนังโป๊บ่อยก็จะมีแนวโน้มฉวยโอกาส”

การบาดเจ็บทางจิตใจของเหยื่อ

ในแง่ของเหยื่อเอง ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิดใจอย่างสูง และในบางครั้งก็ได้เปลี่ยนเขา หรือเธอเหล่านั้นไปตลอดกาล ได้รับบาดแผลทางใจที่บางครั้งเวลาก็ไม่อาจเยียวยาได้

“เหยื่อที่ถูกข่มขืนในทางจิตวิทยาจะมีภาวะที่เรียกว่า RTS Stages หรือ Rape trauma syndrome คือภาวะที่เกิดในระยะสั้นในกรณีที่เหยื่อถูกข่มขืน และระยะยาวที่จะเกิดคือ PTSD หรือ Post-Traumatic Stress Disorder แต่ในแง่ของอาชญาวิทยาได้มีการช่วยเหลือจิตใจของเหยื่อผ่านกระบวนการยุติธรรมด้วยการสอบปากคำด้วยพนักงานสอบสวนผู้หญิง เพื่อแก้ Double wound (การบาดเจ็บทางจิตใจซ้ำสอง) เพราะพนักงานสอบสวนหญิงจะเข้าใจเหยื่อผู้หญิง โดยมีการสอบปากคำและให้การในศาลโดยที่เหยื่อไม่ต้องขึ้นพูดซ้ำด้วยวิธีการอัดเทป เพราะการที่ให้เหยื่อมาพูดซ้ำจะทำให้เกิดการบาดเจ็บทางจิตใจซ้ำสอง และยังมีการเยียวยาอย่างอื่นเพราะหลักจากเกิดการข่มขืนแล้วผู้หญิงจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ไม่กล้ามีคนรักใหม่ ทั้งนี้ก็ต้องมีการบำบัดจิตใจเหยื่อค่อนข้างมาก”

“คดีข่มขืนในประเทศไทยมีลักษณะเหมือนภูเขาน้ำแข็ง คนที่ไปแจ้งความดำเนินคดีมีน้อยแต่คนที่ถูกข่มขืนหรือถูกล่วงละเมิดแล้วไม่ไปแจ้งความมีเยอะมาก ตอนนี้ประเทศไทยมีหลายหน่วยงานที่พยายามเข้ามาช่วยเหลือเช่น มูลนิธิปวีณา องค์กรทำดีของบุ๋ม ปนัดดา การที่มีผู้นำเป็นผู้หญิงออกมาเคลื่อนไหวในด้านนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเมื่อยกประเด็นขึ้นมาถือว่ามีอิทธิพลทำให้สังคมสนใจ และถ้าหากมีองค์กรหรือสื่อที่ร่วมกันผลักดันประเด็นนี้จะช่วยให้เรื่องเหล่านี้ไม่เงียบหาย เพราะวิถีชีวิตของเหยื่อหลังจากนี้ไม่ควรถูกปล่อยไปตามยถากรรม ควรมีการช่วยเหลือให้มีชีวิตที่ดีขึ้น”

ข้อมูล
Farah Aqel. (07 09 2020). The psychology of a rapist. เข้าถึงได้จาก Made for minds
Radha Kapadia. (17 10 2020). 4 Things That Will Take You Inside the Mind of a Rapist.

เรื่อง: ญาดาภา แซ่ลิ้ม

Related Posts

Send this to a friend