สรุปผลชี้มูลความผิด อธิบดีกรมอุทยานฯ เรียกรับเงิน เจ้าตัวยังปฏิเสธ
‘รองปลัด ทส.’ ขอไม่ลงรายละเอียด เพราะเป็นคำสั่งลับ เตรียมส่งไม้ต่อให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โทษสูงสุดคือไล่ออก
วันนี้ (5 ม.ค.66) นายกุศล โชติรัตน์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรียกรับสินบนเเพื่อแต่งตั้ง โยกย้ายตำแหน่งหน่วยงานในสังกัด แถลงความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ว่า
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้เรียกนายรัชฎา และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) มาให้ข้อมูลแล้ว ทั้งนี้คำสั่งสืบสวนข้อเท็จจริงถือเป็นคำสั่งลับ จึงไม่สามารถลงรายละเอียดได้ แต่นายรัชฎา มีมูลความผิดทางวินัย และมีมูลทุจริตเรียกรับเงิน โดยนายรัชฎา ยังคงปฏิเสธ ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องเงินที่พบในห้องทำงาน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดในขั้นสอบสวนข้อเท็จจริงได้ส่งมอบให้ผู้บริหารกระทรวงแล้ว
“ต้องใช้เวลาเพื่อความละเอียดรอบคอบ และเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เมื่อปฏิเสธ ก็ไม่สามารถบีบบังคับได้ เป็นสิทธิของผู้ถูกสอบ ปฏิเสธได้แต่ยังไม่สรุปว่ามีความผิด”
ส่วนกรณีที่นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ส่วนตัวยังไม่เห็นคำสั่ง แต่ตามขั้นตอนต้องจัดประชุมภายใน 7 วัน ตั้งกรอบประเด็นในการสืบสวนสอบสวน โดยมีรองปลัดกระทรวงฯ และผู้ตรวจกระทรวงฯ เป็นผู้สอบสวนข้อเท็จจริง ตามกรอบเวลาภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จอาจต่อระยะเวลาได้ โดยโทษสูงสุดคือ การถูกไล่ออกจากราชการ
สำหรับเงินหลักล้านที่พบในห้องผู้บริหารระดับอธิบดี ไม่น่าเป็นไปได้ ต้องมีเหตุมีผล ทุกวันนี้เรามีบัตรเครดิต ไม่ใช้เงินสด เป็นหน้าที่ของนายรัชฎา ที่ต้องตอบคำถามในคณะกรรมการสอบสวนชุดใดชุดหนึ่ง ส่วนกรณีที่นายวีระ สมความคิด เปิดเผยว่า เคยได้รับเรื่องร้องเรียนการเรียกรับเงินลูกน้องของนายรัชฎา ตั้งแต่ปีก่อน ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เพราะตนเองเพิ่งมาปฏิบัติหน้าที่ที่กระทรวงฯ
นายกุศล กล่าวต่อว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เป็นการเรียกนายรัชฎา และนายชัยวัฒน์ มาให้ข้อมูล เพื่อชี้มูลความผิด ก่อนส่งผลให้กับคณะกรรมการสอบสวนร้ายแรง เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนต่อไป ส่วนเงินที่พบในห้องทำงานของนายรัชฎา ส่งต่อไปให้ใครนั้น จะทราบก็ต่อเมื่อกระบวนการสอบสวนทางวินัย และอาญาเสร็จสิ้น