CRIME

ปฏิบัติการขยายผลจับกุมสถานบันเทิง ‘จินหลิง’ ยึดทรัพย์สินหลายร้อยล้าน

วันนี้ (3 พ.ย. 65) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. แถลงผลการปฎิบัติของตำรวจไซเบอร์ ขยายผลคดีผับ ‘จินหลิง’ ยานนาวา บุกค้นแหล่งทุนจีน พร้อมยึดทรัพย์สิน หลายร้อยล้านบาท ไว้ตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายหรือไม่ ที่หอประชุม กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์

สืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำหมายค้นของศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าตรวจค้นสถานบริการจินหลิง ย่านยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพ พบกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีนกว่า 237 คน เป็นชายสัญชาติจีน จำนวน 111 คน เป็นหญิงสัญชาติจีน จำนวน 126 คน นอกจากนั้น พบพนักงานและบุคคลชาวกัมพูชา และชาวไทยในบริเวณอาคารดังกล่าวอีกจำนวนกว่า 29 คน ตรวจยึดรถยนต์หรูกว่า 30 คัน เพื่อตรวจสอบหาเจ้าของว่ามีส่วนร่วม รู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีพฤติการณ์อันเข้าข่ายฟอกเงิน

ต่อมาหลังจากออกหมายค้น เมื่อวานนี้ (2 พ.ย. 65) พล.ต.ต.ศุภากรณ์ จันทาบุตร ผบก.ปพ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.อุดมสุข สน.ทองหล่อ ได้ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นที่พักอาศัยและใช้ในการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลขบวนการแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 จุด ประกอบด้วย 2 จุดแรกเป็นบ้านพัก 2 หลัง ในเขตประเวศ พบชายชาวจีนรวม 4 คน หญิงชาวจีน 2 คน และคนไทย 5 คนทำหน้าที่เป็นคนขับรถและแม่บ้าน พร้อมตรวจยึดรถยนต์หรู 5 คัน และรถจักรยานยนต์บิกไบก์ 1 คัน พร้อมสุราต่างประเทศ 58 ขวด โทรศัพท์มือถือ 13 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 3 เครื่อง นาฬิกาหรูและเงินสดอีกรวม 14.5 ล้านบาท

ส่วนจุดที่ 3 เป็นคอนโดหรูย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นบ้านของนาย LIN YIAN พบชายชาวจีน 2 คน หญิงชาวจีน 2 คน ตรวจยึดเงินสดอีก 28 ล้านบาท กระเป๋าแบรนเนมหรู 8 ใบ บุหรี่ซิการ์ต่างประเทศ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ระบุว่า นาย LIN YIAN ผู้ต้องหาในครั้งนี้ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เลย จึงนำบัตรประจำตัวประชาชนที่ตรวจยึดได้นำมาตรวจสอบกับสารบบทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครองปรากฏว่าเลขประจำตัวประชาชนดังกล่าว นายทะเบียนออกให้กับบุคคลอื่น (ใบหน้าไม่ตรงกัน) โดยชื่อที่ปรากฏในบัตรเป็นชื่อของไทยที่ยังมีชีวิต ทำอาชีพเก็บข้าวโพด อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเจ้าตัวไม่ทราบว่ามีการนำชื่อไปใช้ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหา MR.LIN YIAN ว่า “ปลอมบัตรประจำตัวประชาชน” นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.อุดมสุข เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

นอกจากนี้จากการดูบันทึกการเข้าออกประเทศจากพาสปอร์ตของนายหลินเหยียนที่นึดไว้ พบว่ามีการเดินทางเข้าออกไทย-กัมพูชา 25 ครั้ง และเข้า-ออกมาเลเซียอีก 12 ครั้ง และยังพบความเชื่อมโยงกับกลุ่ม “คิงโรมัน” จึงเชื่อว่านายหลินเหยียนเป็นขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สร้างเซิฟเวอร์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ใช้ไทยเป็นที่พักอาศัย

เบื้องต้นตำรวจจะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแต่ละคนที่จับกุมได้ตามลักษณะความผิด และจะตรวจสอบคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้มีการแจ้งความไว้ในระบบทั้งหมด ว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายนี้หรือไม่ต่อไป

ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่ามี 5 แก๊งค์จีนเทาที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ระบุว่า กำลังอยู่ในระหว่างการสืบสวน ทั้งนี้ยืนยันว่าสามารถจับกุมได้แล้ว 2 ใน 5 กลุ่ม พร้อมระบุว่าในทางสืบสวนตอนนี้ยังไม่พบนักการเมืองระดับอดีตรัฐมนตรีหรือผู้มีอิทธิพบทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

ส่วนตัวการใหญ่อักษรย่อ ต. กับ ห.ที่นายชูวิทย์กล่าวอ้างว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับนักการเมืองและตำรวจระดับสูง เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงแต่อย่างใด ซึ่งต้องใช้เวลาสืบสวนเส้นทางการเงินและความสัมพันธ์สักระยะ

Related Posts

Send this to a friend