CRIME

‘ชูวิทย์’ พาพยานชาวสิงคโปร์แฉตำรวจไถเงิน – หิ้วปี๊บให้ ผบช.น.คลุมหัว

‘ชูวิทย์’ หิ้วปี๊ป บอกให้ ผบช.น. ไว้คลุมหัว เหตุตำรวจรีดทรัพย์นักท่องเที่ยว พร้อมเปิดตัวพยานชาวสิงคโปร์ที่อยู่ในวันเกิดเหตุ แฉขบวนการตำรวจตั้งด่านรีดไถ ด้าน ตร. ส่งเจ้าหน้าที่เข้าสอบปากคำ

วันนี้ (1 ก.พ. 66) เวลา 14:00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวกรณี อันหยูชิง หรือ Charlene An ดาราสาวชาวไต้หวัน ที่อ้างว่าถูกตำรวจนครบาลห้วยขวางตั้งด่านเรียกรับทรัพย์ จำนวน 27,000 บาท พร้อมพา นายสกาย ชาวสิงคโปร์ 1 ในพยานวันเกิดเหตุ มาเปิดเผยถึงเหตุการณ์ในวันนั้น และเปิดโปงขบวนการตำรวจตั้งด่านเพื่อรีดไถ่เงิน

โดยก่อนเริ่มแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้ถือปี๊ปเข้ามา และใช้มือตี พร้อมระบุว่า เอามาฝากให้ ผบช.น. ไว้ให้คลุมหัว เพราะทำลายภาพพจน์ประเทศ ทั้งๆ ที่เขากำลังเปิดประเทศ แต่กลับมีการซ่อนข้อเท็จจริง

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่มีการทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวยิ่งเฉพาะในช่วงนี้ที่เพิ่งจะมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด-19

อีกทั้ง แทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจรผู้ร้ายกลับต้องมากลัวตำรวจ ซึ่งตำรวจควรจะดูแลความปลอดภัย ทำให้พวกพวกเขาสบายใจ แต่กลับไปรีดไถพวกเขา ทั้งนี้ชูวิทย์เปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือของอันหยูชิง พร้อมระบุว่า เป็นความจริงที่อันหยูชิงใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่ในวันที่เกิดเหตุอันหยูชิงไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามาด้วย

หากวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหายตนก็เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายมาตลอด และหากเปรียบตำรวจไม่ดีเป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ต้องตัดแขนทิ้ง เพราะไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว

จากนั้น นายชูวิทย์ ได้เชิญพยานที่อยู่ในเหตุการณ์วันเกิดเหตุ คือ นายสกาย ชายชาวสิงค์โปร์ ซึ่งเป็นเพื่อนของอันหยูชิงมาร่วมแถลงข่าว โดยนายสกาย เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุ ตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้งอันหยูชิง ไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้นระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พักซึ่งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านเรียกตรวจ ซึ่งตำรวจใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่

โดยเจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้รถจอดเข้าข้างทางให้ทุกคนในรถลงมาจากนั้นเข้ามมาจับตามตัว ค้นกระเป๋า ให้นำเอกสาร หนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าวตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก

สกาย กล่าวต่อว่า จากการตรวจตามตัวเจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน เจ้าหน้าที่ถามต่อว่ามาจากประเทศไหน ตอนนั้นทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยว่าทำไมตำรวจทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป พร้อมตั้งคำถามว่าตนเองทำผิดอะไร และอธิบายว่าตามปกติแล้วการเดินทางเข้าประเทศไทยของคนสิงคโปร์ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่ายกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 10 กว่าวันขึ้นไป ส่วนตัวที่เดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 เป็นวันที่กำหนดเดินทางกลับ ซึ่งในเหตุการณ์ฝั่งตนมีเพียงตนเองที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไม่ได้

นายสกาย ยังได้ระบุกับทางตำรวจว่า เอกสารต่างๆ อยู่ที่ห้องพัก ถ้าหากจะตรวจขอเวลากลับไปนำมาแสดง ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ฟัง ตำรวจก็บอกกับตนเองว่าอย่าเถียง และพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกสารตัวจริงทันที พร้อมสั่งห้ามไปไหน และพยายามแจ้งว่าการที่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด ซึ่งตนจึงได้ตอบกลับเจ้าหน้าที่ไปว่าตน และเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่าถ้าผิดกฎหมายจริงเหตุใดจึงขายได้ทั่วไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึดตนก็ซื้อมาจากตลาดที่ห้วยขวางเทอเรส และเห็นคนไทยใช้กันตามปกติอยู่ ไม่มีใครบอกว่าผิดกฎหมาย

เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จตอนนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มมีทีท่าโมโห และบอกว่าถ้าอย่างนั้นทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้ตนจะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่งทางเจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจ และแจกแจงให้กับตนเองฟังว่าบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาทส่วนที่ไม่พกพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท

โดยตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย โดยนายแรก เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมแจ็คเก็ต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากนายสกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ส่วนตำรวจนายที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง ส่วนตำรวจนายที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หนึ่งรายยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้อันหยูชิงถือพร้อมถ่ายภาพ ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนและทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นไว้ๆ รวมถึงอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

นายสกาย กล่าวว่าวันที่เกิดเรื่องตนมีเงินติดตัว 30,000 บาท ตอนที่ให้เงินทางตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่านตรวจ จากนั้นให้ตนเองนับเงินให้เรียบร้อยและให้ในกลุ่มของตนมายืนบังมุมกล้อง เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยเจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ

หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมาในกลุ่มไม่ค่อยอยากพูดคุยกันเพราะทุกคนยังเครียด แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนออกมาพูด และพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรและบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้

สำหรับเงินที่จ่ายไปสกายยืนยันว่าตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบบังคับให้จ่ายเงินตนเองไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้เงิน 30,000 บาทที่จ่ายไปตั้งใจว่าจะซื้อของฝากให้ครอบครัวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาท

นายสกาย กล่าวต่อว่า หลังจากกลับมาในกลุ่มมีการพูดคุยกันและคิดว่าถ้าตอนนั้นมีทางเลือกก็คงไม่ให้เงินแต่ที่ให้ไปเพราะตำรวจจะพาไปที่สถานีตำรวจอย่างเดียว

ขณะเดียวกันชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพ ของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่า จดจำใครได้บ้าง ซึ่งสกาย ดูรูปภาพตำรวจแล้วได้พยักหน้า พร้อมกับดูภาพตำรวจทั้ง 2 นาย

นายชูวิทย์ กล่าวว่าหลังจากนี้ จะทำการเปิดโปงเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นทั้งหมด และกล่าวถึงขบวนการตำรวจที่ตั้งด่านเพื่อรีดไถเงิน ซึ่งในวันนี้ได้ตนได้จำแนกค่าด่านรีดไถเงินเป็นของทางฝั่งนครบาล และจราจรกลางซึ่งนครบาลทั่วทั้ง กทม.น้้นมีทั้งสิ้น 88 สน.และอัตราในการรีดไถนั้น เมาสุรา ตรวจพบแอลกอฮอล์เกินขนาด 30,000 บาท ตรวจฉี่สีม่วง 100,000 บาท พบสารเสพติด 3-5 แสนบาท ตรวจพบอาวุธ 3-5 หมื่นบาท ควันดำ 10,000 บาท บุหรี่ไฟฟ้า 30,000 บาท นครบาลต้องจ่ายให้ บชน.ต่อเดือน 264 ล้านบาท และจราจรกลางต้องจ่ายให้ บชน.ต่อเดือน 60 ล้านบาทรวมทั้งสิ้น 324 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในขณะที่แถลงข่าว พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในการสอบปากคำวันนี้ด้วย โดยพล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า ขอเวลาขึ้นไปพบกับสกาย พยานสำคัญก่อน ซึ่งวันนี้ได้ให้คณะกรรมการ และทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย เข้ามาร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียด และครอบคลุมในทุกประเด็น

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat