‘ชัชชาติ’ ชวนเกษตรกรร่วม ‘นาแปลงนี้ไม่เผา’ ลดฝุ่น PM2.5

‘ชัชชาติ’ ชวนเกษตรกรร่วม ‘นาแปลงนี้ไม่เผา’ ลดฝุ่น PM2.5 ชี้ 2 ปี เกษตรกรลดเผานากว่า 9 เท่า ตั้งเป้าการเผาภาคเกษตรเป็น 0 ภายในปี 69 เตรียมเสนอรัฐบาลให้ กทม. เป็นเขตควบคุมมลพิษ
วันนี้ (31 ม.ค. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เชิญชวนเกษตรกรร่วมกิจกรรมนาแปลงนี้ไม่เผา พร้อมลงแปลงนาเยี่ยมชมเกษตรกรใช้รถอัดฟางข้าว ณ แปลงนาของนายประเสริฐ ภู่เงิน แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก
นายชัชชาติ กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ สาเหตุหลักมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ฝุ่นจากการจราจร อากาศปิดที่ทำให้ฝุ่นสะสม และการเผาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยเฉพาะในเขตหนองจอก จากมาตรการรณรงค์ลดการเผาตอซังและฟางข้าว ทำให้อัตราการเผาลดลง 9 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน กทม. แก้ปัญหาเรื่องแหล่งน้ำเพื่อช่วยเกษตรกร
ที่ผ่านมา กทม. ใช้คลองเป็นเส้นทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้บางพื้นที่มีน้ำไม่เพียงพอ ต่อมาได้สร้างฝายทดน้ำ 17 แห่ง ส่งผลให้ปริมาณน้ำสำหรับการเกษตรเพิ่มขึ้น เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้มากขึ้น และมีรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้ ไม่อยากให้มองว่าเกษตรกรเป็นต้นเหตุของปัญหา เนื่องจากเกษตรกรมีต้นทุนที่ต่ำ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุน เช่น การส่งเสริมการซื้อผลิตภัณฑ์จากแปลงนาที่ไม่เผา รวมถึงเป้าหมายของ กทม. ในการลดการเผาให้เป็นศูนย์ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นระยะยาว
นอกจากนี้ กทม. เตรียมเสนอรัฐบาลให้ประกาศพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งจะทำให้ผู้ว่าฯ กทม. มีอำนาจมากขึ้นในการออกมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การกำหนดมาตรฐานไอเสียของรถยนต์ให้เข้มงวดขึ้น โดยแนวทางนี้เคยถูกนำมาใช้แล้วในหลายเมืองใหญ่ของไทย เช่น ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งได้รับการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษตั้งแต่ปี 2535
อีกมาตรการที่ กทม. เสนอรัฐบาล คือ การย้าย หรือปรับลดการใช้ท่าเรือคลองเตย เนื่องจากท่าเรือแห่งนี้มีเรือขนาดใหญ่ใช้น้ำมันเตา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง อีกทั้งยังมีตู้คอนเทนเนอร์กว่า 1 ล้านตู้ต่อปี และรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซลจำนวนมากที่เข้ามาขนส่งสินค้า ทำให้เกิดมลพิษสะสมในพื้นที่ กทม. จึงเสนอให้รัฐบาลพิจารณาลดการใช้ท่าเรือคลองเตยและหันมาใช้ระบบขนส่งทางรางแทน
ทั้งนี้ ผลการรณรงค์ไม่เผาตอซังและฟางข้าวของ กทม. พบว่า กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ทำนา รวมกว่า 80,000 ไร่ เกษตรกรทำนา 4,000 ครัวเรือนกระจายอยู่ในเขตหนองจอก คลองสามวา ลาดกระบัง มีนบุรี สายไหม บางเขน สะพานสูง ประเวศ หนองแขม และทวีวัฒนา ซึ่งปี 2565 มีพื้นที่เผา 5,625 ไร่ ปี 2566 มีพื้นที่เผา 1,582 ไร่ และปี 2567 มีพื้นที่เผา 625 ไร่ ซึ่ง กทม. มีเป้าหมายการเผา เป็น 0 ภายในปี 2569

ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีเกษตรกรทำนา 3,265 ครัวเรือน พื้นที่นา 75,978.67 ไร่ อยู่ในพื้นที่เขตหนองจอก คลองสามวา ลาดกระบัง สายไหม บางเขน ซึ่งเกษตรกรปลูกข้าวหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าว กข 79 ข้าวหอมปทุม ข้าวหอมแม่โจ้ข้าวพันธุ์ กข 41 กข 43 กข 49 กข 83 กข 85 ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นต้น ส่วนใหญ่เมื่อเกี่ยวข้าวแล้ว นิยมส่งขายทั้งหมดให้โรงสีเอกชนขนาดใหญ่ เกษตรกรจะได้รับเงินก้อนคราวเดียว
ปี 2567 กรุงเทพมหานครมีนโยบายจัดทำมาตรฐานสินค้าการเกษตร (Bangkok G) เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้นและผู้บริโภคมีความมั่นใจและเป็นที่ยอมรับของตลาด มีเกษตรกรเขตหนองจอก 30 ราย ยื่นเอกสารขอรับ Bangkok G
ทั้งนี้ สำนักพัฒนาสังคมจัดทำแผนการลงตรวจแปลงฯ ประสานคณะกรรมการลงพื้นที่ตรวจแปลงฯ ในช่วงวันเก็บเกี่ยว ผลผลิตดังกล่าว และกรุงเทพมหานคร จะออกใบรับรอง Bangkok G และนาแปลงนี้ไม่เผาต่อไป คาดว่าจะได้ผลผลิต 180 ตัน เพื่อบรรจุถุงจำหน่ายต่อไป ซึ่งมาตรฐาน Bangkok G ข้าว ได้มีการเพิ่มข้อกำหนดไว้ในการตรวจแปลงข้าวที่ระบุในเรื่องของการเตรียมแปลงต้องไม่มีการเผาตอซังข้าว และเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้
สำหรับเกษตรกรที่ขอมาตรฐาน Bangkok G และนาแปลงนี้ไม่เผา จะได้รับประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้
1.ใบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรกรุงเทพมหานคร (Bangkok G) มีอายุ 2 ปี
2.ถุงบรรจุสุญญากาศ ติดตราสัญลักษณ์ Bangkok G มีระบุข้อมูลรหัสแปลง แหล่งปลูก เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
3.สติ๊กเกอร์รับรองแหล่งผลิต “แปลงนี้ไม่เผา”
4.มีตลาดรองรับผลผลิตที่แน่นอน เกษตรกรได้รับการสนับสนุนช่องทางการตลาด นำผลผลิตไปขายที่ตลาด Farmer market ที่สำนักพัฒนาสังคมดำเนินการ 7 แห่ง และที่สำนักงานเขต 50 เขต
5.สามารถขายข้าวสารบรรจุถุงได้ในราคาที่สูงขึ้น เพราะมีมาตรฐานปลอดภัย (Bangkok G) และได้รับการันตีว่ามาจากแปลงนาที่ไม่เผา
ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถนำผลผลิตมาจำหน่ายได้ที่ ตลาด Farmer market ดังนี้
1.สวนลุมพินี เขตปทุมวัน (ทุกเช้าวันอาทิตย์ เวลา 05.00-10.00 น.)
2.สวนสาธารณะจตุจักร เขตจตุจักร (ทุกเช้าวันเสาร์ เวลา 05.00-11.00 น.)
3.สวน 60 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง (ทุกเช้าวันเสาร์ เวลา 05.00-11.00 น.)
4.ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 1 เสาชิงช้า เขตพระนคร (ทุกสัปดาห์สุดท้ายของเดือน เวลา 05.00-14.00 น.)
5. ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง เขตดินแดง (ลานน้ำพุ) (ทุกวันเวลา 06.00-14.00 น.)
6.สำนักพัฒนาสังคม เขตดินแดง (ทุกวันจันทร์ เวลา 06.00-14.00 น.)
7.โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (อาทร สังขะวัฒนะ) เขตทุ่งครุ (ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 05.00-11.00 น.)
