ดีอี ชูโมเดลขับเคลื่อนดิจิทัล ดัน ‘Thailand Digital Valley’ ปลุกบิ๊กดาต้า ตั้งศูนย์ AI สากล

3 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ETDA, DEPA และ BDI ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ร่วมกันแสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมทั้งเปิดตัวโชว์เคสโมเดลสนับสนุนภาคเอกชนในงานสัมมนา “Navigating Thailand’s Sustainable Digital Future” ภายใต้หัวข้อ “Thailand’s Digital Growth Engine” ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ร่วมกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ที่ผ่านมา
นางสาวกษมา กองสมัคร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (DEPA) กล่าวว่า DEPA เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาทุนมนุษย์ เศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเน้นย้ำความสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกรรม ธุรกิจ การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแนวคิดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานในระดับที่สูงขึ้นได้
สำหรับภาคเกษตรกรรม DEPA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับ พร้อมส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการซื้อขายผลผลิต การจัดการข้อมูลเพาะปลูก และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคเกษตรกรรมได้ง่ายขึ้น อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
ในส่วนของภาคธุรกิจ DEPA มุ่งกระจายความช่วยเหลือและสนับสนุนให้บริษัทเอกชนเร่งพัฒนาทักษะและปรับตัวสู่ดิจิทัล ผ่านเครือข่าย Depa 8 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ พร้อมวางกลยุทธ์ที่เน้นการให้ความสำคัญกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ
ด้านการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น ปัจจุบัน DEPA ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ จัดทำโครงการพัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรม ที่มุ่งเน้นสร้างทักษะด้านการเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและก้าวทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน DEPA ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ปลอดภัย และยั่งยืน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการ Thailand Digital Valley ที่อำเภอศรีราชา ซึ่งเป็นโครงการลงทุนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติและผู้ประกอบการ SMEs เข้ามาใช้ประโยชน์ โดยวางบทบาทให้เป็น Tech Park ศูนย์รวมบริการครบวงจร และเตรียมจัดทำ AI Literacy เพื่อช่วยเสริมศักยภาพให้ SMEs ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
ขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เปิดเผยว่า BDI เป็นองค์กรมหาชนน้องใหม่ภายใต้การกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินงานมาแล้ว 18 เดือน มีภารกิจในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ครอบคลุม 3 กลุ่มงานหลักคือ การเชื่อมโยงและข้อมูลเชิงวิเคราะห์ มุ่งสร้าง Big data (กลุ่ม B.I.G), การเชื่อมโยงผู้ประกอบการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้าน Big data โดยพัฒนาคอมมูนิตี้ด้าน AI (กลุ่ม Bridge) และการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ด้านวิเคราะห์ข้อมูล (กลุ่ม BUILD) ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้หลักการ Data Sharing Facilitation ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับชาติ ประกอบด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ อีโคซิสเต็ม เครื่องมือและมาตรฐาน และโครงสร้างพื้นฐาน โดยตั้งเป้าหมายในปี 2568-2569 จะเชื่อมโยงแพลตฟอร์มระหว่างภาครัฐกับเอกชนใน 4 กลุ่มหลักคือ ท่องเที่ยว สุขภาพ โครงการแพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับพื้นที่เมืองอัจฉริยะ หรือ Envi Link และ Provincial Platform หรือแพลตฟอร์มระดับจังหวัด คาดว่าการพัฒนา Data Sharing Facilitation จะแล้วเสร็จตามแผนในปี 2568-2569 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงข้อมูลของประเทศ และให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลในเชิงวิเคราะห์
ด้าน นางรจนา ล้ำเลิศ หัวหน้าทีมศูนย์ AI Governance Center (AIGC) และที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กล่าวว่า หน่วยงานได้เร่งผลักดันให้องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI โดยมองว่า AI Governance ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ศูนย์ AIGC ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและเตรียมความพร้อมองค์กรในการประยุกต์ใช้ AI ผลสำรวจความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI ขององค์กรระหว่างปี 2566-2567 พบว่า สัดส่วนองค์กรที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้เพิ่มขึ้นจาก 15.2% ในปี 2566 เป็น 17.8% ในปี 2567 ขณะที่องค์กรที่มีแผนจะใช้ AI เพิ่มขึ้นจาก 56.6% เป็น 73.3% และองค์กรที่ยังไม่มีความต้องการใช้ AI และต้องการการสนับสนุนลดลงจาก 28.2% เหลือเพียง 8.9% ส่วนองค์กรที่มีความตระหนักถึงการนำ AI มาใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 45.3% ในปี 2566 เป็น 55.1% ในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าองค์กรในไทยมีความพร้อมและมีแผน AI ที่ชัดเจนใน 5 ด้านคือ ความพร้อมด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร ยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร ธรรมาภิบาล และเทคโนโลยี
เป้าหมายในการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาอย่างยั่งยืนมี 6 ด้าน ประกอบด้วย การใช้ AI ควรส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม AI ต้องได้รับการออกแบบและใช้งานให้สอดคล้องกับกฎหมายและจริยธรรม โดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลางและเคารพสิทธิมนุษยชน AI ต้องสามารถอธิบายได้ มีระบบติดตาม ตรวจสอบย้อนหลังได้ การพัฒนา AI ต้องคำนึงถึงการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้องหลีกเลี่ยงอคติของข้อมูลและอัลกอริทึม ส่งเสริมความหลากหลายและให้ความสำคัญกับการปกป้องกลุ่มเปราะบาง และสุดท้ายคือควบคุมกระบวนการพัฒนา AI ให้มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ และสามารถปรับปรุงต่อเนื่อง นางรจนากล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับแนวทางธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเป็นกลไกกำหนดนโยบาย ขั้นตอนปฏิบัติ เครื่องมือในการปฏิบัติงาน และการวิเคราะห์ความเสี่ยงการใช้ AI เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน รวมถึงส่งเสริมผู้พัฒนาและผู้ประกอบการ AI สู่การประยุกต์ในภาคอุตสาหกรรมอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และรับผิดชอบ ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ (Public Hearing) เกี่ยวกับหลักการกฎหมายปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ในส่วนของภาคเอกชน ดร.ขจรพงศ์ อัครจิตสกุล AI Technology Expert บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “Thailand Way Forward: Digital and AI Driven Economy” ว่า ปัญหาในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัล และ AI Transformation คือการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ปัจจุบันต้องร่วมกับสถาบันการศึกษาในการสร้างหลักสูตรเพื่อผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการขององค์กร ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาบุคลากร AI ในรูปแบบ Working Group เพื่อสร้าง AI Champion ขึ้นมาตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ปัจจุบันบริษัทนำ AI มาใช้พัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ลดต้นทุนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นางสาวอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Techsauce Media กล่าวว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดี แต่มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการข้อมูลที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องบุคลากรดิจิทัลและ AI แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กยังขาดแคลนทั้งทุนและบุคลากร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเข้ามาสนับสนุน เพราะเทคโนโลยี AI ปัจจุบันสามารถนำมาใช้ขับเคลื่อนและเพิ่มประสิทธิภาพในหลายอุตสาหกรรม เช่น สุขภาพ เกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม หากมีบุคลากรเพียงพอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้
นายจรุง เกียรติสุภาพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสารสนเทศ (Chief Information officer) กลุ่มบริษัท KBTG ให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจุบันธนาคารนำ AI มาใช้ในการทำ Digital Lending โดยนำฐานข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ความต้องการสินเชื่อและความสามารถในการชำระคืน ส่วนปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอ AI สามารถเข้ามาช่วยในการทำ Coding เป็น Coding Assistance ช่วยลดภาระการเขียนโปรแกรมได้ถึง 40% ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ 40% เช่นกัน นายจรุงสรุปว่า AI ช่วยในการทำงานได้หลายด้าน และสิ่งสำคัญในการนำ AI มาใช้ในองค์กรคือผู้นำองค์กรต้องมีความชัดเจนในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การใช้ AI จึงจะทำให้องค์กรสามารถนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้สำเร็จ