SOCIAL RESPONSIBILITY

ทุนพัฒนาทักษะอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เน้นให้ความรู้ มอบโอกาสเพื่อการพัฒนา

หากต้องการช่วยเหลือ ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทางเลือกที่เร็วที่สุด คือการสนับสนุนเงิน หรือการให้ปลา ให้อาหารให้สามารถยังชีพได้ แต่หากเราต้องการให้พวกเขาอยู่ได้ต่อไปในอนาคต ไม่กลับมาอยู่ในวงจรปัญหาเดิมๆ อีก และมีโอกาสในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทางเลือกที่ดีที่สุดกลับไม่ใช่การ “ให้ปลา” แต่เป็นการ “สอนให้จับปลา” หรือ “สอนให้เพาะเลี้ยงปลา” ต่างหาก

โครงการทุนพัฒนาทักษะอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นหนึ่งในโครงการของ กสศ. ที่นำแนวความคิดเช่นนั้นมาใช้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ สถาบันการศึกษา กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ยื่นเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุน โดยล่าสุดในปี 2563 มีหน่วยงานที่ยื่นเสนอโครงการผ่านระบบออนไลน์ ระหว่าง 5 – 24  มิ.ย. ทั้งสิ้น 783 โครงการจาก 73 จังหวัด ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 7 เท่า โดยกสศ. ได้ดึงตัวแทน 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคสื่อมวลชน และภาคท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ร่วมพิจารณาโครงการ

นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.)

นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) กล่าวว่า แม้ภาพรวมของประเทศไทยช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 จะมุ่งไปที่ไทยแลนด์ 4.0 หากในความเป็นจริงเราทราบกันดีว่ามีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ เรายังมีประชากรกลุ่มใหญ่ที่ตกจากขอบของการพัฒนา ถ้าเรามองข้ามคนกลุ่มนี้ไป ความเหลื่อมล้ำในสังคมจะยิ่งขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุด ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายของโครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 จึงเป็นกลุ่มแรงงาน 1.0 2.0 ในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา กสศ. มองหาวิธีการช่วยเหลือมาตลอด กระทั่งได้บทสรุปว่า “เราต้องสอนให้เขารู้วิธีจับปลา แทนที่จะเอาปลาไปให้เขา และที่สำคัญคือเราต้องแน่ใจว่าเมื่อเขาตกปลาเป็นแล้ว จะต้องมีบ่อ มีสระ มีพันธุ์ปลาที่เขาจะได้นำทักษะตกปลาที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงด้วย” งานของเราจึงเริ่มที่ชุมชน ต้องรู้ว่าในแต่ละพื้นที่มีอาชีพอะไรที่ไปได้ดีจริงๆ แล้วชักชวนคนในชุมชนมาฝึกให้นำความก้าวหน้ามาอย่างไม่ฝืนธรรมชาติ และเป็นไปตามศักยภาพของชุมชน

“ในการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 เราได้ตัวแทนเข้าร่วมนำเสนอมุมมอง และคัดเลือกโครงการที่น่าสนใจ จากบุคคลที่หลากหลาย ภาคเอกชน เพิ่มมุมมองด้านธุรกิจในแง่กิจกรรมว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร ไปรอดได้จริงในทางธุรกิจหรือไม่ ภาคสื่อมวลชน ที่มีความเข้าใจมุมมองความคิดของคนทั่วไปได้มากที่สุด เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถือเป็น 4 เสาหลักอันเป็นองค์ประกอบร่วมกันในการทำงาน สำคัญกว่านั้นจะมีผู้คนนับหมื่นคนทั่วประเทศที่ได้รับประโยชน์ มีคนที่รอคอยโอกาสมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม มีคนว่างงานหรือตกงานไม่มีงานทำจากผลของวิกฤตโควิด -19 นี่คือสิ่งที่ผลักดันให้ กสศ. ต้องเร่งทำงาน เพราะยิ่งการพิจารณาเสร็จสิ้นเร็วขึ้นเท่าไหร่ กิจกรรมก็จะเริ่มขึ้นได้เร็วเท่านั้น การพิจารณาข้อเสนอโครงการครั้งนี้ สิ่งที่มีค่าที่สุดจึงไม่ใช่แค่การคัดเลือก แต่เป็นเรื่องของความพร้อมในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้โครงการสามารถนำมาใช้จนเกิดผลสำเร็จได้จริง” ผู้จัดการ กสศ. กล่าว

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน และที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า โครงการทุนพัฒนาอาชีพฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ทุนนวัตกรรมเพื่อชุมชน จำนวน 202 โครงการ และทุนพัฒนาทักษะอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน จำนวน 581 โครงการ ซึ่งเมื่อแยกตามกลุ่มผู้เสนอโครงการฯ แบ่งออกได้เป็น สถาบันการศึกษาจำนวน 421 โครงการ องค์กรชุมชน (เช่น วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสวัสดิการชุมชน กลุ่มสตรีแม่บ้าน กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนหมู่บ้าน)จำนวน 144 โครงการ องค์กรสาธารณประโยชน์/องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจำนวน 84 โครงการ องค์กรปกครองท้องถิ่นจำนวน 53 โครงการ หน่วยงานในภาครัฐ และเอกชนจำนวน 29 โครงการ ศูนย์การเรียนรู้/ศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน18 โครงการ กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) จำนวน 13 โครงการ และอื่นๆ จำนวน 21 โครงการ

“หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มีคนจำนวนมากต้องย้ายกลับถิ่นฐานบ้านเกิด ดังนั้นเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกจะมีหลักการและแนวทางพิจารณาเข้มข้นรอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส จากผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ภายใต้เกณฑ์การพิจารณา 3 เกณฑ์หลักคือ ประสบการณ์การทำงานและความร่วมมือการทำงานชุมชน คุณภาพข้อเสนอโครงการ และความสอดคล้องของกระบวนการทำงาน องค์ประกอบและกลุ่มเป้าหมาย” 

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน และที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กสศ.

“ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจะเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจต่อการพัฒนาทักษะอาชีพและการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐานสำหรับกลุ่มผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และผู้ด้อยโอกาส ที่สำคัญต้องไม่มีความเกี่ยวข้องต่อข้อเสนอโครงการที่เสนอเข้ามาด้วย ทั้งนี้ถึงแม้งบประมาณที่จำกัด กสศ.ยังได้เสนอโครงการดังกล่าวเพื่อขอรับงบประมาณเพิ่มเติมจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอีกด้วย” ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าว

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์  กล่าวว่า เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์มีประสิทธิภาพภายใต้เงื่อนไข ต้องมีทักษะการสร้างอาชีพโดยการใช้ชุมชนเป็นฐาน ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ แรงงานฝีมือในชุมชน ผ่านหลักสูตรระยะสั้น 3 ด้าน ได้แก่ 1.ทักษะเฉพาะอาชีพโดยปฏิบัติงานจริงในชุมชนหรือสถานประกอบการ 2.ทักษะการบริหารจัดการ 3.ทักษะชีวิตด้านเศรษฐศาสตร์ครัวเรือน ซึ่งจะทำให้มีกลุ่มเป้าหมายได้รับประโยชน์กว่า 10,000 คน และจะเป็นโมเดลทางธุรกิจโดยมีชุมชนเป็นฐาน คนในชุมชนมีงานทำ มีรายได้สูงขึ้น รวมทั้งเป็นการขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อเสนอต่อหน่วยงานนโยบาย หรือองค์กรต่างๆ ที่สามารถนำรูปแบบไปพัฒนาขยายต่อได้

ทั้งนี้ ระเบียบของกสศ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญในการจัดสรรเงินกองทุน พ.ศ.2561 โดยการจัดลำดับความสำคัญนั้น จะพิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสและมีระดับรุนแรง กลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหาซ้ำซ้อน กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานใด ซึ่งเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติในการพิจารณาความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมที่สุด

Related Posts

Send this to a friend