เอสไอจี ผนึก WWF ต่อเนื่องปีที่ 3 ‘เชื่อมโยง-ปกป้อง’ ป่าไม้ไทย 3.75 แสนไร่
เอสไอจี (SIG) ร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ทั้งสำนักงานในสวิตเซอร์แลนด์และประเทศไทย เดินหน้าโครงการเชื่อมโยงและปกป้องภูมิทัศน์ป่าไม้สำคัญของไทยเป็นครั้งที่ 3 โครงการนี้มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการป่าไม้ใน 3 ภูมิทัศน์หลัก ได้แก่ เทือกเขาตะนาวศรี พื้นที่ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง และกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่รวม 60,000 เฮกตาร์ หรือประมาณ 375,000 ไร่ นับเป็นโครงการที่สามของเอสไอจีภายใต้โปรแกรม Forests Forward ต่อเนื่องจากความสำเร็จในเม็กซิโกและมาเลเซีย
นายวัชรพงศ์ อึงศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการเขตประเทศไทย ลาว พม่าและกัมพูชา เอสไอจี กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสให้เอสไอจีสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อป่าไม้และชุมชนที่พึ่งพิง โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงและปกป้องภูมิทัศน์ป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงของไทย สะท้อนความมุ่งมั่นในการดูแลป่าไม้อย่างมีความรับผิดชอบ สอดรับกับเป้าหมายการฟื้นฟูในอนาคต
ป่าไม้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของเขตความหลากหลายทางชีวภาพอินโด-เมียนมาร์ และเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดที่บางส่วนกำลังเสี่ยงอันตราย การตัดไม้ทำลายป่าและการขยายถิ่นฐานคือภัยคุกคามหลัก เอสไอจีตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบเยื่อไม้สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ของบริษัท ตั้งแต่ปี 2564 บริษัทจึงจัดหากระดาษจากป่าไม้ที่ได้รับการรับรอง FSC-Certified เท่านั้น โครงการล่าสุดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของเอสไอจีในการสร้าง ฟื้นฟู ปกป้อง และจัดการพื้นที่ป่าไม้เพิ่มเติม 650,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 4.062 ล้านไร่) ภายในปี 2573
โครงการใหม่นี้มีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ หนึ่ง รักษาแนวชายขอบป่าเพื่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ สอง เสริมสร้างพื้นที่อนุรักษ์เดิมและสนับสนุนการกำหนดพื้นที่คุ้มครองใหม่ และสาม ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ ประยุกต์ และติดตามการอนุรักษ์ พร้อมมอบโอกาสทางอาชีพ กิจกรรมภายใต้โครงการจะมุ่งเน้นการฟื้นฟูป่า การปรับปรุงความเชื่อมโยงของที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เช่น ช้างในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ การอนุรักษ์ป่าในแหล่งน้ำ การกำหนดพื้นที่คุ้มครอง การรักษาสิทธิการใช้ที่ดินของชุมชน และส่งเสริมวนเกษตรกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
นายรัฐพล พิทักษ์เทพสมบัติ รองผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ WWF ประเทศไทย ระบุว่า ความร่วมมือนี้ช่วยให้สามารถปกป้อง อนุรักษ์ และฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้สำคัญ 3 แห่งในไทยได้โดยตรง รวมถึงทำงานร่วมกับภาครัฐและชุมชนเพื่อกำหนดพื้นที่คุ้มครองใหม่ และสนับสนุนการอยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ป่า
นายทิม โครนิน ผู้นำโครงการ Forests Forward ของ WWF กล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ภาคเอกชนจะเป็นผู้นำในการจัดการวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และป่าไม้ โดยต้องก้าวไปไกลกว่าการหยุดยั้งความเสียหาย สู่การฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไป และสนับสนุนการฟื้นฟูป่าในพื้นที่ที่ต้องการมากที่สุด การทำงานของเอสไอจีในไทยถือเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจอื่น
เอสไอจีก่อตั้งในปี พ.ศ. 2396 มีสำนักงานใหญ่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2567 บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์กว่า 57,000 ล้านชิ้น สร้างรายได้ราว 3,300 ล้านยูโร และได้รับการจัดอันดับ ESG จาก MSCI ในระดับ AAA รวมถึงระดับ Platinum จาก EcoVadis