PUBLIC HEALTH

สช. ชวนภาคีสร้างนโยบายสาธารณะฯ บริหารจัดการน้ำด้วยกลไกระดับพื้นที่

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ประเด็น “การส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่” ซึ่งเป็นเวทีการสื่อสาร รับฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่จะนำไปพัฒนาเป็นระเบียบวาระภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีองค์กร หน่วยงาน ภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุม

รศ.ดร.บัญชา ขวัญยืน ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ กล่าวว่า น้ำคือทรัพยากรที่มีความสำคัญและจำเป็นในแง่ของการอุปโภคบริโภคเพื่อดำรงชีวิต ไปจนถึงประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การเพาะปลูก การเกษตร ฯลฯ แต่ทุกคนกลับไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรน้ำได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนยากจน กลุ่มคนเปราะบางในสังคม หรือชุมชนนอกเขตชลประทาน ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานต่างรับผิดชอบตามแผนงานของตน ความท้าทายจึงเป็นเรื่องการจัดสรรและประสานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำให้ครอบคลุมทุกในระดับพื้นที่ ชุมชน ท้องถิ่น

ทั้งนี้ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญของการพัฒนานโยบายสาธารณะ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน ผลักดันข้อเสนอของสังคมสู่การกำหนดนโยบายในระดับชาติที่ตอบสนองพื้นที่ได้ ภายใต้การใช้ความรู้เป็นฐานและการแสวงหาทางออกร่วมกันอย่างสมานฉันท์ จึงมีการบรรจุเรื่องนี้ให้เป็นหนึ่งในระเบียบวาระเพื่อหาฉันทมติร่วมกันในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2566

“การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยเฉพาะการส่งเสริมความเข้มแข็งในกลไกเชิงพื้นที่ สนับสนุนให้องค์กรผู้ใช้น้ำสามารถร่วมบริหารจัดการน้ำได้อย่างเข้มแข็ง จะเป็นส่วนที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคมได้ ซึ่งการขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายสาธารณะผ่านสมัชชาสุขภาพ จะเป็นพื้นที่กลางการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อหนุนเสริมการพัฒนากลไกและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ” รศ.ดร.บัญชา กล่าว

ดร.พงศกร กาวิชัย คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงานพัฒนาประเด็นการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ กล่าวว่า ภาพรวมปัญหาทรัพยากรน้ำของประเทศไทยมีทั้งการขาดแคลนน้ำ น้ำท่วม น้ำเสีย น้ำเค็ม การแย่งใช้น้ำ ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งโดยธรรมชาติและการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ขณะที่โจทย์ของการลดความเหลื่อมล้ำคือทำอย่างไรให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งในการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรท้องถิ่น และสามารถขยายผลกลไกการมีส่วนร่วมจากระดับท้องถิ่น ตำบล ขึ้นไปสู่ระดับจังหวัด เชื่อมโยงกับกลไกบริหารจัดการจากบนลงล่างที่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561

จากการประมวลผลช่องว่างและความท้าทายในสถานการณ์น้ำของประเทศที่จะลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่ม พบว่ามีช่องว่างต่าง ๆ เช่น ขาดการสนับสนุนให้เกิดองค์กรจัดการน้ำระดับพื้นที่ที่ชุมชนมีบทบาทเป็นเจ้าของน้ำและบริหารจัดการน้ำร่วมกับท้องถิ่น ขาดการส่งเสริมศักยภาพองค์กรผู้ใช้น้ำ ขาดความพยายามกระจายอำนาจการจัดการน้ำ ตลอดจนขาดโครงสร้างองค์กรบริหารจัดการน้ำระดับชุมชนหรือตำบล เป็นต้น

ดร.พงศกร กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นคณะทำงานได้วางกรอบทิศทางนโยบายของมติสมัชชาฯ โดยมีสาระสำคัญของข้อเสนอที่ประกอบด้วย

1.หนุนเสริมกระบวนการสร้างความเข้มแข็งต่อกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่

2.ผลักดันให้เกิดการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามความต้องการของพื้นที่

3.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบองค์รวมเพื่อโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน/ท้องถิ่น

4.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมบริหารจัดการน้ำเสียและสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่

5.ส่งเสริม ฟื้นฟู ปรับปรุง อนุรักษ์ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ระบบเส้นทางน้ำชุมชน

นพ.สมชาย พีระปกรณ์ ประธานคณะอนุกรรมการกำกับ สนับสนุน และเชื่อมโยงกระบวนการสมัชชาสุขภาพ กล่าวว่า การจัดการทรัพยากรน้ำในระดับประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่และมีความยากซับซ้อน เป็นประเด็นที่มีแนวโน้มอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงได้ ดังนั้นเวทีสมัชชาสุขภาพจึงจะเป็นพื้นที่กลางให้ฝ่ายผู้กำหนดนโยบายและภาคประชาชนร่วมพูดคุยกัน เพื่อสร้างนโยบายสาธารณะที่ครบถ้วน ส่งตรงถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป

นพ.สมชาย กล่าวทิ้งท้ายว่า จะเปิดรับความคิดเห็นและข้อเสนอเพิ่มเติมต่อไปจนถึงวันที่ 25 ต.ค. 2566 โดยคณะทำงานจะนำมารวบรวมและปรับปรุงจนได้ร่างมติที่มีความชัดเจนและครบถ้วน จากนั้นจะนำเอกสารร่างมติที่สมบูรณ์เข้าสู่การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ประเด็นการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ วันที่ 13 พ.ย. 2566 เพื่อรับฟังความเห็นขั้นสุดท้าย ก่อนจะนำเข้าสู่เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2566 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 ธ.ค. 2566 ที่ภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ให้การรับรองร่วมกัน ควบคู่กับอีกสองระเบียบวาระ คือ ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง และการส่งเสริมการพัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ

Related Posts

Send this to a friend