PUBLIC HEALTH

เติมสุขโมเดล หลักสร้างสุขภาพแบบมีส่วนร่วม หลังถ่ายโอน รพ.สต ไปยัง อบจ. จ.สงขลา

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายใน จ.สงขลา ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณ จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยใช้ ‘เติมสุขโมเดล’ หรือการเปิดพื้นที่กลาง ให้หลากหลายหน่วยงาน เข้ามาบูรณาการความร่วมมือ ทั้งเชิงข้อมูล ทรัพยากรงบประมาณ ตลอดจนกำหนดทิศทาง และวางเป้าหมายร่วมกัน ในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ของประชาชนได้อย่างแท้จริง โดยมี ‘อบจ.สงขลา’ ทำหน้าที่เป็น ‘แกนกลาง หรือ การสร้างสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม เพื่ออภิบาล ‘ระบบปฐมภูมิ’ หลังถ่ายโอน รพ.สต

โดยพื้นที่ จ.สงขลาแห่งนี้ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 6 พื้นที่จังหวัดนำร่อง (Sandbox) ภายใต้โครงการการศึกษา และพัฒนากลไกความ ร่วมมือ ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพท้องถิ่น ภายใต้บริบท การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด

นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า “จังหวัดสงขลามีความโดดเด่น และไม่มีพื้นที่ใดเลยที่มีแนวคิดเช่นนี้ บนพื้นที่กว่า 7,300 ตารางกิโลเมตร ของ จ.สงขลา ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผสานความแตกต่าง เข้าหากัน โดยเฉพาะในวันที่ อบจ.สงขลา มีวิสัยทัศน์ไปไกลกว่า เพียงแค่การบริหารจัดการ รพ.สต. ให้อยู่รอดด้วยแล้ว การสานพลังจึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่แห่งนี้ไม่เหมือนที่อื่น เพราะ จ.สงขลา ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ระบบบริการสุขภาพใน ‘ระดับอำเภอ’ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากสร้างเอกภาพระหว่าง แต่ละอำเภอให้เกิดขึ้นได้ การจะขับเคลื่อนภารกิจ รพ.สต. จะบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในอำเภอ ที่รับการถ่ายโอนฯ รพ.สต. มาทั้งอำเภอ”

ดังนั้นการอภิบาลระบบร่วมกัน เพื่อให้เกิดความร่วมไม้ร่วมมือ ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนในจังหวัด จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือ หรือ ‘กลไกเฉพาะ’ ซึ่ง จ.สงขลา มีฐานทุนเดิมมาก่อนแล้ว นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เติมสุขโมเดล’

สำหรับกลไกสร้างการมีส่วนร่วมดังกล่าว สร้างขึ้นด้วยการเติมเต็มซึ่งกันและกัน วางโจทย์และทิศทางการขับเคลื่อนร่วมกัน ทลายข้อจำกัดเรื่องการแยกส่วนกันทำ โดยหลักการสำคัญคือ ‘เอาพื้นที่เป็นฐาน’ ก่อนจะนำสภาพปัญหา ต้นทุน ตลอดจนจุดเน้น มาวิเคราะห์สร้างเป็นยุทธศาสตร์ แผนงาน และกลไกในการทำงานร่วมกัน ในภารกิจถ่ายโอนฯ ซึ่งปัจจุบัน อบจ. สงขลา รับการถ่ายโอน รพ.สต. มาแล้วรวมทั้งสิ้น 49 แห่ง (ปี 2566 จำนวน 23 แห่ง ปี 2567 จำนวน 26 แห่ง) ‘เติมสุขโมเดล’ ก็ถูกนำเข้ามาสนับสนุน การจัดบริการสาธารณะ ด้านสุขภาพระดับปฐมภูมิด้วย

ส่วนรูปธรรมจากการเปิดพื้นที่ สานพลังความร่วมมือ เพื่ออภิบาลระบบร่วมกัน คือการได้ข้อตกลงร่วมกันที่จะ ‘ปรับโครงสร้างการดำเนินงานสาธารณสุขในส่วนของท้องถิ่น’ โดย อบจ.สงขลา จะทำงานร่วมกันกับ ผวจ.สงขลา ซึ่งถือเป็นการทำงาน ‘ข้ามหน่วยงาน’ ในการกำกับควบคุม รพ.สต. รวมถึงดึงภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้ามาหนุนเสริม

ผศ.ศดานนท์ วัตตธรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา กล่าวว่า‘เติมสุขโมเดล’ เป็นกลไกสำคัญที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นจากถ่ายโอน รพ.สต. ในเบื้องต้น เช่น จำนวนบุคลากรที่ไม่เพียงพอ ตามกรอบอัตรากำลัง เพราะบางแห่งมีพยาบาลวิชาชีพ เพียงคนเดียว ดังนั้นภายใต้โมเดลนี้ อบจ.สงขลา ก็มีการพยายามสร้างเครือข่าย ในการดูแลสุขภาพขึ้นมา หรือในช่องว่างเรื่องทักษะ ของบุคลากรที่ถ่ายโอนฯ เพราะงานบางอย่าง อาจไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่เดิม เช่น งานพัสดุ งานเอกสาร งานจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ ซึ่งภายใต้โมเดลเดียวกันนี้ ทาง อบจ.สงขลา มีการอบรมให้คำปรึกษาแก่ รพ.สต. ที่ถ่ายโอน เกี่ยวกับแนวปฏิบัติแนวทาง การดำเนินงาน หรือในประเด็นการมีเครื่องมือ ยา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างไม่เพียงพอ อบจ.สงขลา ก็ได้ประสานกับโรงพยาบาลแม่ข่าย ในการอุดช่องว่างดังกล่าว

“ภายใต้กลไกเติมสุขโมเดล ที่ช่วยผสานความร่วมมือ ระหว่างภาคีเครือข่าย ช่วยสนับสนุนให้ รพ.สต. ทำหน้าที่ดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนประชาชนไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงสังกัดหรือถ่ายโอนฯ” ผศ.ศดานนท์ ระบุ

สำหรับการพัฒนา ‘เติมสุขโมเดล’ คือ การสร้าง “ศูนย์บริการเติมสุข” ที่จะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการเติมช่องว่างในระบบบริการ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างครบวงจร (one stop service) เช่น การรวมศูนย์สุขภาพ ที่มีทั้งคลินิกกายภาพ คลินิกผู้สูงอายุ ฯลฯ และศูนย์บริการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งจะช่วยเรื่องการปรับสภาพบ้าน แก้ไขปัญหาไม่ได้ค่าครองชีพ ฯลฯ รวมถึงมีภาพฝันปลายทางคือให้บริการต่างๆ เข้าถึงได้โดยให้ประชาชน ใช้บัตรประชาชนใบเดียว ในการเข้ารับบริการ หรือ “one ID one stop service”

นอกจากนี้จะมี “ศูนย์สร้างสุข” โดยจะอาศัยงบประมาณ จากกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพ มาหนุนเสริมการให้บริการเชิงรุก ซึ่งในนั้นอาจมีศูนย์กายอุปกรณ์ ศูนย์ซ่อมกายอุปกรณ์ ธนาคาร 1,000 เตียง การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และเพิ่มเติมเรื่องแพทย์แผนไทยเข้าไป

โดย อบจ.สงขลา ตั้งงบประมาณก่อสร้างไว้ศูนย์ละ 5 แสน-1 ล้านบาท รวมถึงอนุมัติแผนการจัดทำเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้ ‘รพ.สต.รำแดง’ อ.สิงหนคร และ ‘รพ.สต.เกาะใหญ่’ อ.ควนเนียง ที่อยู่ในพื้นที่นำร่อง เป็นฐาน และสร้างกลุ่มเครือข่าย การให้บริการในชุมชน และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือการจัดระเบียบข้อมูล ของทุกหน่วยงานให้เป็น ‘ฐานข้อมูล’ เดียวกัน ที่ตรงกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของทุกภาคส่วน

ด้าน ฐิตารีย์ เชื้อพราหมณ์ รักษาการแทนผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.สงขลา กล่าวว่า “เราจะเลือกเติมเฉพาะที่เป็นช่องโหว่แต่ละพื้นที่ แต่แน่นอนว่าแต่ละที่อาจขึ้นรูปไม่เหมือนกัน เพราะมีสภาพปัญหา และต้นทุนทางสังคมที่แตกต่างกัน และหากแต่ละหน่วยงานช่วยกัน เติมให้ตรงจุดมันจะเป็นภาพสมบูรณ์ ซึ่งการที่หน่วยงานในพื้นที่มาคุยกัน จะตอบโจทย์พื้นที่ได้ไม่ยาก เพราะถ้าข้างล่างเชื่อมร้อยกันแน่นหนา ไม่ว่าข้างบนหรือส่วนกลางจะเป็นยังไง ข้างล่างเดินได้ภายใต้บริบทพื้นที่”

ขณะที่ ชาคริต โภชะเรือง มูลนิธิชุมชนสงขลา และประธานสมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลา กล่าวว่า หลังจากนี้จะผลักดันให้เกิด “แผนสุขภาพรายบุคคล” โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มผู้ป่วย โดยทางมูลนิธิชุมชนสงขลา จะร่วมกับ อบจ.สงขลา ใช้ imed @home ที่มีระบบในการเชื่อมโยง ระหว่างชุมชน และผู้ป่วย ให้เกิดดูแล ปรับพฤติกรรมกัน รวมถึงคัดกรองโรค กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เดือนละ 1 ครั้ง

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ว่าสุขภาพตนเองดีขึ้นหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าหากเป็นสมาชิกกับระบบนี้ ก็จะได้เห็นข้อมูลเชิงสถิติว่าในพื้นที่ว่า สุขภาพของใครเปลี่ยนไปอย่างไร โดยบทบาทตรงนี้ภาคประชาชน จะเป็นหน่วยงานหลัก และทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ สำหรับปรับสภาพแวดล้อม ระบบบริการ และแผนสุขภาพในแต่ละระดับ นอกจากนี้จะมีการเชื่อมร้อย เครือข่ายด้านสุขภาพ ที่ไม่ได้ทำงานกับ อบจ.สงขลา แต่เป็นพาร์ทเนอร์กับมูลนิธิชุมชนสงขลา เติมเข้าไปในพื้นที่นำร่อง เพื่อใช้เป็นฐานในการทำงานร่วมกัน

Related Posts

Send this to a friend