PUBLIC HEALTH

แพทย์ เตือน ช่วงหน้าร้อนเสี่ยงอาหารเป็นพิษได้ง่าย ชี้ วางอาหารทิ้งไว้นานเสี่ยงเชื้อโรคเติบโต

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) เกิดจากเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมาจากอาหาร หรือมาจากภาชนะที่ใส่อาหารก็ได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้โดยกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่เกิดกับอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านาน ๆ โดยไม่มีการแช่เย็น อาหารที่เตรียมขึ้นอย่างไม่สะอาด บางครั้งพบในอาหารที่ปรุงไม่สุก เด็กและคนชรามีโอกาสเสี่ยงสูง

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า อาการของโรคอาหารเป็นพิษ มีทั้งเกิดจากพิษ (toxin) หรือจากการติดเชื้อโดยตรง มักเกิดขึ้นภายใน 4-6 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อหรือสารพิษของเชื้อขึ้นไปจนถึงมากกว่า 1 วัน โดยทั่วไปอาหารเป็นพิษเป็นภาวะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง แต่หากเกิดอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดการสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

นายแพทย์กิตติ ชื่นยง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ส่วนใหญ่ภาวะอาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ซึ่งเชื้อที่มักเป็นสาเหตุของภาวะอาหารเป็นพิษมีหลากหลาย เช่น

1.ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม

2.เอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia Coli) หรืออีโคไล (E. Coli) บางสายพันธุ์ โดยพบมากในเนื้อสัตว์ดิบ

3.คลอสติเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนน้อย มักพบในอาหารที่บรรจุในภาชนะปิดสนิทที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง เนื้อสัตว์แปรรูป

4.ชิเกลล่า (Shigella) พบการปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด น้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารสดที่สัมผัสกับคนที่มีเชื้อโดยตรง

5.ไวรัสที่ก่อโรคในทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) มักปนเปื้อนได้ทั้งในอาหารสด สัตว์น้ำที่มีเปลือก และน้ำดื่มที่ไม่สะอาด

สำหรับอาการอาหารเป็นพิษที่พบบ่อย ได้แก่ รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายท้องติดต่อกันหลายครั้ง หรืออาจมีเลือดปน รู้สึกปวดท้องแบบบิดเกร็งเป็นพัก ๆ ต่อเนื่องกัน เนื่องจากการบิดตัวของลำไส้ มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย ซึม ไม่มีแรง ปากแห้ง กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะน้อย เป็นต้น มีไข้สูง รู้สึกหนาวสั่น ปวดศีรษะ รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย เบื่ออาหาร รับประทานได้น้อย แม้โรคนี้จะไม่สามารถควบคุมได้ แต่การรักษาสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยมีวิธีแนะนำดังนี้

1.ล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง

2.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ

3.ไม่วางอาหารทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง

4.หลีกเลี่ยงอาหารที่จะทำให้เกิดอาการท้องร่วง เช่น ส้มตำ ยำ ขนมจีน เป็นต้น

5.พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

Related Posts

Send this to a friend