เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ลอรีอัลมอบทุน 5 นักวิจัยหญิง

แม้ความเท่าเทียม จะเป็นประเด็นที่ทุกคนทั่วโลกให้ความสำคัญ แต่ในหลายๆ วิชาชีพ ปรากฏว่าเพศหญิงมีจำนวนน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ในแวดวงการวิจัย และวิทยาศาสตร์ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดในปีนี้ของยูเนสโก ระบุไว้ว่านักวิจัยหญิงมีสัดส่วนเพียง 33% เท่านั้น การสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์หญิง จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในอาชีพนี้ได้อีกทางหนึ่ง
“เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women In Science เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสนับสนุนทุนวิจัยให้กับสตรีในวงการวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างงานวิจัย และผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อโลก โดยเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างลอรีอัล และสำนักเลขาธิการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ภายใต้การกำกับดูแลของ L’Oréal Foundation ตั้งแต่เมื่อ 22 ปีที่แล้ว
นางอินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย กล่าวว่า “การค้นคว้าวิจัยเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นับเป็นหัวใจสำคัญของลอรีอัลในการดำเนินธุรกิจมากว่า 100 ปี เราเชื่อมั่นว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรีเพื่อการพัฒนาและสร้างการเปลี่ยนแปลง และแม้ในประเทศไทยเองจะมีนักวิจัยหญิงเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งแล้ว (49.7%) แต่ทุกส่วนยังคงต้องให้ความสนับสนุนเพื่อสร้างโอกาสและความเท่าเทียมในวงการนี้ต่อไป เนื่องจากปัจจุบัน จำนวนนักวิจัยอาวุโสหญิงที่ได้รับการยอมรับยังอยู่ในระดับไม่สูง โดยจะเห็นได้ว่ารางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นที่มอบให้ผู้หญิงมีสัดส่วนเพียง 14% ของทั้งหมดเท่านั้น”
สำหรับปี 2564 ลอรีอัล ประเทศไทย ได้ประกาศนักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุน 5 คน ซึ่งมีผลงานวิจัยที่โดดเด่นเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และประเทศชาติ ในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้แก่
รองศาสตราจารย์ ดร. พันธนา ตอเงิน จากภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เจ้าของงานวิจัยหัวข้อ “การศึกษาผลกระทบของความแปรปรวนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อวัฏจักรน้ำในระบบนิเวศป่า” กล่าวว่า “ไม่นานมานี้ ป่าไม้ได้เกิดปรากฏการณ์ตายหมู่ขึ้นอันเนื่องมาจากสภาวะแล้งที่รุนแรง และมีหลักฐานแสดงปรากฏการณ์ดังกล่าวในป่าเกือบทั่วโลก แต่ยังขาดหลักฐานในป่าไม้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะไม่มีผลการศึกษามาก่อน ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งประเมินและวิเคราะห์อัตราการใช้น้ำของป่าไม้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งป่าสมบูรณ์และป่ารุ่นสอง เพื่อศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความสามารถในการทนแล้งของพันธุ์ไม้ในป่า โดยงานวิจัยนี้นับเป็นงานวิจัยชิ้นแรกในประเทศไทย ที่มีการติดตั้งเสาและอุปกรณ์ตรวจวัดอย่างต่อเนื่องในป่าหลายขั้นการทดแทน โดยสามารถเก็บข้อมูลได้เป็นเวลานานเพื่อติดตามสถานะและการเปลี่ยนแปลงของอัตราการใช้น้ำของป่า ซึ่งหากเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลานานกว่า 30 ปี ก็จะสามารถนําไปวิเคราะห์ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้ นับเป็นข้อมูลสําคัญที่เกิดจากการตรวจวัดในพื้นที่จริงที่ยังไม่ปรากฏในป่าเขตร้อนที่มีหลายขั้นการทดแทนแห่งใดในโลก และยังเป็นประโยชน์เชิงนโยบาย ช่วยในการวางแผนและบริหารจัดการการใช้น้ำของชุมชนที่จะแม่นยํามากขึ้น นอกจากนี้การวิเคราะห์ความทนแล้งของชนิดพันธุ์ต้นไม้ในป่าเหล่านี้ ยังจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการคัดเลือกพันธุ์ต้นไม้ที่สามารถทนแล้งได้มาปลูกทดแทน นับเป็นฐานข้อมูลสําคัญสําหรับโครงการฟื้นฟูป่าในพื้นที่ใกล้เคียง นําไปสู่ผลประโยชน์ทั้งด้านวิชาการและการใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย เนื่องจากข้อมูลในป่าเขตร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นปริศนาในการศึกษาด้านป่าไม้และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก”
ดร. กมลชนก ชีวะปรีชา จากหน่วยวิจัยโรคเขตร้อน มหิดล-อ๊อกฟอร์ด และ หลักสูตรชีวสารสนเทศและชีววิทยาระบบ คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เจ้าของผลงานวิจัยหัวข้อ “การจัดทำแผนที่ทางพันธุกรรมเพื่อป้องกันโรคเมลิออยด์” กล่าวว่า “โรคเมลิออยด์เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้มากในเขตร้อน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้ทั่วไปในดินและน้ำ พบได้มากในภาคอีสานของประเทศไทย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาวนา อาการของโรคมีความหลากหลาย เช่น มีไข้ ติดเชื้อที่ปอด หรือติดเชื้อตามอวัยวะต่าง ๆ ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ลำบาก มีอัตราเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 40 และปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน อีกทั้งยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและถูกละเลย ในฐานะนักวิจัย เล็งเห็นว่ามีเครื่องมือที่มีสามารถช่วยสร้างฐานข้อมูลฐานพันธุกรรมที่สามารถใช้จำแนกเชื้อที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง หรือกลุ่มคนไข้ที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อการการป้องกัน การตรวจ และการรักษาที่มีประสิทธิภาพในอนาคตได้ จึงได้รวบรวมฐานข้อมูล DNA และ RNA ของคนไข้ เชื้อที่ก่อโรคในคนไข้ และเชื้อที่พบในแหล่งน้ำ ไปวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาว่าพันธุกรรมของเชื้อและคนไข้รูปแบบใดที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตมากที่สุด รวมทั้งหาแหล่งที่มาของเชื้อที่คนไข้ได้รับ โดยงานวิจัยที่เสร็จสมบูรณ์คือแผนที่ทางพันธุกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงในการป้องกันโรค ทั้งระบุแหล่งการแพร่กระจายของเชื้อในแหล่งน้ำ รวมไปถึงการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันหรือ ลดความรุนแรงในการติดเชื้อ ลดจำนวนผู้ป่วย และเสียชีวิตจากโรคเมลิออยด์ ควบคู่ไปกับสร้างความเข้าใจให้กับคนในพื้นที่ผ่านการให้ความรู้ในการป้องกันตัวเอง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างทีมวิจัยด้านโรคติดเชื้อที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับในระดับโลกต่อไป”
รองศาสตราจารย์ ดร. วรรณวิภา วงศ์แสงนาค จากภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาแพลทฟอร์มทางชีววิทยาระบบและไมโครไบโอมเพื่อการทำนายสุขภาพทางเดินอาหารของคนไทย” กล่าวว่า “ร่างกายมนุษย์เปรียบเสมือนบ้านของจุลินทรีย์ ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับยีนของจุลินทรีย์ทั้งหมดในร่างกาย หรือที่เรียกว่า ไมโครไบโอม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งหากทำการศึกษาไมโครไบโอม โดยศึกษาชนิด หน้าที่ กิจกรรมของยีน วิถีเมแทบอลิกของไมโครไบโอม ปฏิสัมพันธ์ของไมโครไบโอม ปฏิสัมพันธ์ของไมโครไบโอมกับอาหาร รวมไปถึงปฏิสัมพันธ์ของไมโครไบโอมร่วมกับจีโนมของมนุษย์ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทำนายโรค การดูแลรักษาสุขภาพ และการออกแบบอาหารเชิงหน้าที่ (Functional Foods) ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงได้ให้ความสนใจในการพัฒนาแพลทฟอร์มทางชีววิทยาระบบและไมโครไบโอม ที่เรียกว่า ซีสไมโอม (SYSMIOME) ขึ้น โดยบูรณาการเครื่องมือและอัลกอริทึมที่ทันสมัย เพื่อจัดการกับข้อมูลไมโครไบโอมในทางเดินอาหารของคนไทยที่ได้จากเทคโนโลยีเมแทโอมิกส์ โดยคุณลักษณะที่โดดเด่นของแพลทฟอร์มนี้ คือสามารถแสดงสื่อประสานแบบกราฟิกกับผู้ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร เพื่อการวิเคราะห์ทางชีววิถี และหน้าที่ของไมโครไบโอมเชิงชีวสถิติ เพื่อทำนายสุขภาพทางเดินอาหารของคนไทย โดยการสร้างและพัฒนาแพลทฟอร์ม SYSMIOME สามารถนำไปใช้เพื่อทํานายสุขภาพทางเดินอาหารของคนไทย และยังสามารถต่อยอดไปสู่นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเมแทโอมิกส์และไมโครไบโอมิกส์ในประเทศ รวมถึงการนำแพลทฟอร์มดังกล่าวนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพสร้างความสมดุลของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร อีกทั้งยังสามารถสร้างเครือข่ายร่วมกับนักวิชาการและหน่วยงานด้านต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรในประเทศไทย”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อรวรรณ สุวรรณทอง จากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ งานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาวัสดุปิดแผลฟองน้ำเซลลูโลสที่มีสารประกอบเชิงซ้อนของเคอร์คิวมินและไคโตซานสําหรับรักษาบาดแผลเรื้อรัง” กล่าวว่า “ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอัมพฤกษ์ และโรคอัมพาตเป็นจำนวนมาก โดยผู้ป่วยเหล่านี้มักพบบาดแผลเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ โดยบาดแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และบาดแผลกดทับถูกพบมากที่สุดในบรรดาบาดแผลเรื้อรังทั้งหมด ซึ่งสาเหตุหลักเกิดการจากติดเชื้อของแบคทีเรีย และมีปริมาณของเสียจากบาดแผลเป็นจำนวนมาก ทำให้การดูแลรักษาบาดแผลเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลานาน และต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง การใช้วัสดุปิดแผลจึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาผู้ป่วยดังกล่าว โดยวัสดุที่ใช้ต้องมีราคาถูก ไม่เป็นพิษ เข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อผิวหนัง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ น้ำและออกซิเจนสามารถแพร่ผ่านได้เหมาะสม ป้องกันการสูญเสียน้ำจากร่างกายเพื่อช่วยรักษาสภาวะของแผลไม่ให้แห้ง และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทางคณะผู้วิจัยเล็งเห็นว่าการพัฒนาวัสดุปิดแผลสำหรับรักษาบาดแผลเรื้อรังมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาบาดแผลอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้พัฒนาวัสดุฟองน้ำที่มีลักษณะเป็นรูพรุน ช่วยดูดซับของเหลวจากบาดแผลได้ดี และมีประสิทธิภาพในการกักเก็บของเหลวได้ โดยใช้พอลิเมอร์ที่ได้จากธรรมชาติและพบได้ในประเทศไทย คือ เซลลูโลสจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบสับปะรด และไคโตซานจากเปลือกกุ้ง กระดองปู เป็นต้น อีกทั้งยังมีการใช้เคอร์คิวมิน สารสกัดจากขมิ้นชัน ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพเหมาะสำหรับใช้ในการรักษาบาดแผล โดยผลงานวิจัยนี้สามารถนําไปต่อยอดเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพวัสดุปิดแผลที่ผิวหนังให้มากขึ้น ช่วยยกระดับงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม เพิ่มโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนภายในประเทศ ให้มีศักยภาพในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ลดการนําเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศได้ในที่สุด”
รองศาสตราจารย์ ดร. นัดดา เวชชากุล จากภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้รับทุนวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ เจ้าของงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาวัสดุนาโนโลหะออกไซด์ เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงสำหรับการย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นมลพิษทางน้ำ” กล่าวว่า “อุตสาหกรรมฟอกย้อมเป็นอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดน้ำทิ้งจากสีย้อมในกระบวนการผลิตเป็นปริมาณมาก หากไม่มีระบบการบำบัดน้ำทิ้งที่ดีจะนำไปสู่การปนเปื้อนสีย้อมในน้ำทิ้ง เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียได้ โดยปกติแล้วอุตสาหกรรมฟอกย้อมจะมีการบำบัดน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ เพื่อเป็นการป้องกันการตกค้างของสีย้อมในน้ำทิ้ง ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการบำบัดน้ำเสียจากการฟอกย้อม ได้แก่ การตกตะกอนด้วยสารเคมี กระบวนการบำบัดทางชีวภาพ การดูดซับด้วยถ่านกัมมันต์ การออกซิไดซ์ด้วยโอโซน เทคโนโลยีเยื่อแผ่น แต่กระบวนการเหล่านี้มีข้อจำกัด ทั้งในแง่ของระยะเวลา ต้นทุน ขั้นตอนการกำจัดผลิตภัณฑ์สุดท้ายจากการบำบัด ด้วยเหตุนี้ จึงสนใจศึกษากระบวนการเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงแบบวิวิธพันธ์ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสลายสีย้อมในอุตสาหกรรมฟอกย้อมโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดสำหรับการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา และยังเป็นวิธีการย่อยสลายสีย้อมที่สามารถนำตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงกลับมาใช้ซ้ำได้ ตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการย่อยสลายสีย้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในงานวิจัยจึงมุ่งเน้นการออกแบบและพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงนาโนโลหะออกไซด์ เพื่อเพิ่มอัตราการเร่งปฏิกิริยาการย่อยสลายสีย้อมในน้ำ ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีวัสดุเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านวัสดุเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงสำหรับลดมลพิษทางน้ำที่มาจากการปนเปื้อนของสีย้อมในน้ำ โดยผลงานที่เกิดขึ้นประกอบด้วยต้นแบบตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงระดับห้องปฏิบัติการและบทความวิจัย สามารถนำไปต่อยอดเพื่อผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในการบำบัดน้ำเสีย โดยการลดสารสีย้อมตกค้างที่ถูกปล่อยในน้ำทิ้งและช่วยส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมทางน้ำอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด”
“สำหรับลอรีอัล ประเทศไทย เราดำเนินโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 แล้ว โดยทุนวิจัยลอรีอัลเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ จะมอบทุนจำนวน 250,000 บาทต่อทุน ให้กับนักวิจัยสตรีไทยที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ใน 2 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ โดยงานวิจัยจะต้องมีศักยภาพชัดเจนในการสร้างประโยชน์ต่อสังคม มีกระบวนการวิจัยที่เหมาะสม ผ่านเกณฑ์การชี้วัดของโครงการฯ มีจริยธรรมในการทำงาน และเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิทยาศาสตร์ และจนถึงปัจจุบัน ลอรีอัล ประเทศไทยได้มอบทุนให้กับนักวิจัยสตรีไทยไปแล้วทั้งสิ้น 76 คน จาก 20 สถาบัน และเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของเรารในการส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมให้กับสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์ และวิจัย” อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด