ภัยไซเบอร์คุกคามหนัก เหยื่อเฉียด 9 แสนคดี ผู้เชี่ยวชาญชี้กฎหมาย-แพลตฟอร์มตามไม่ทันคนร้าย
ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการได้เปิดเผยในเวทีเสวนาออนไลน์ “ออนไลน์ให้รอด ปลอดภัยให้ทัน: อยู่ยังไงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อภัยไซเบอร์” ซึ่งจัดโดย The Reporters TV ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ถึงสถานการณ์อาชญากรรมไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ที่พัฒนากลโกงต่อเนื่อง สร้างความเสียหายมหาศาลแก่ประชาชน
ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พันตำรวจโท อลงกรณ์ กนกวัน รองผู้กำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) และ นายอนุวัฒน์ เฟื่องทองแดง ผู้ประกาศข่าว ร่วมเสวนาชี้ว่า รูปแบบการหลอกลวงยุคดิจิทัลพัฒนาไปไกล ไม่เพียงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่รวมถึงสแกมเมอร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การสแกนใบหน้า หรือเทคโนโลยี Deepfake/AI สร้างวิดีโอและใบหน้าปลอมเพื่อหลอกลวง
นายอนุวัฒน์ ซึ่งถูกนำรูปและคลิปไปแอบอ้างหลอกลวง เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเพจปลอมใช้รูปตนเองประมาณ 50 เพจ ทั้งใน Facebook และ TikTok นำคลิปไปตัดต่อปล่อยเงินกู้ ทำให้ถูกเข้าใจผิดและต่อว่าเป็นนักข่าวไร้จรรยาบรรณ ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย แม้แจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว แต่เพจปลอมกลับเพิ่มขึ้น สร้างความท้อแท้จนบางครั้งคิดจะหยุดลงคลิปให้ความรู้ เพราะกลัวถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
พันตำรวจโท อลงกรณ์ ยอมรับว่าอาชญากรพัฒนาการก่อเหตุ โดยมักหนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การขอความร่วมมือระหว่างประเทศล่าช้าและบางครั้งไม่สำเร็จ อุปสรรคสำคัญอีกประการคือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียซึ่งมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ การขอข้อมูลหรือนำเนื้อหาลงต้องผ่านกระบวนการของแพลตฟอร์ม ซึ่งบางกรณีอาจมองว่าไม่ขัดต่อ “กฎของชุมชน” แม้จะเป็นการหลอกลวง นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้ประโยชน์จากการที่มิจฉาชีพจ้างบูสต์โพสต์โฆษณา
สำหรับสถิติล่าสุด ณ วันที่ 1 มีนาคม 2565 มีการรับแจ้งความออนไลน์แล้วกว่า 887,315 เรื่อง สร้างความเสียหายรวมกว่า 89,000 ล้านบาท เฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการหลอกลวงซื้อขายสินค้าออนไลน์ และหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน ขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเสียหายราว 10 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปิดกั้นบัญชีปลอมร่วมกับกระทรวงดิจิทัลไปแล้วหลักล้านบัญชี แต่ก็มีการเปิดใหม่จำนวนมากเช่นกัน มีการติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการชาวไทย ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านนำผู้กระทำผิดกลับมาดำเนินคดี ยึดทรัพย์ และมีโครงการเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหาย ส่วนผู้ที่อ้างว่าถูกหลอกไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ หากไปโดยช่องทางธรรมชาติและมีพฤติกรรมสนับสนุนการกระทำผิด ก็จะถูกดำเนินคดี ขณะนี้กำลังสืบสวนไปถึงนายใหญ่คนจีนที่หลบหนีและมีการออกหมายแดงแล้ว
พันตำรวจโท อลงกรณ์ แนะนำให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชัน CyberCheck ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ บัญชีธนาคาร ลิงก์ เพจ Facebook บัญชี Line และ TikTok ต้องสงสัย และยังมีโครงการ Cyber Vaccine ให้ความรู้ตามช่วงวัย
ดร.ชำนาญ เน้นย้ำความจำเป็นในการให้ความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อและดิจิทัลในหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับประถม พร้อมแนะนำ “คาถา 3 คำ” รับมือภัยออนไลน์ คือ 1. ตั้งสติ 2. เช็กก่อน (ผ่านเว็บไซต์ checkkon.com หรือแอป CyberCheck) และ 3. อุปกรณ์ปลอดภัย (ระมัดระวัง WiFi สาธารณะ) ด้านนายอนุวัฒน์เสริมว่า อย่าเชื่อสิ่งที่เห็นง่ายๆ และควรตรวจสอบจำนวนผู้ติดตามของเพจหรือบัญชีเพื่อแยกแยะของจริงจากของปลอม
ผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันว่าการแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน แพลตฟอร์ม สื่อ และประชาชน โดยนายอนุวัฒน์พร้อมช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากตำรวจไซเบอร์หรือกองทุนสื่อฯ ผ่านช่องทางของตนเอง