KNOWLEDGE

ไทย-เกาหลี ลงนามร่วมศึกษาสร้างท่าอวกาศยานในไทย ส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศ

สถาบันวิจัยเกาหลีลงนามร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอวกาศยานแห่งแรกในไทย หวังเป็นพันธมิตรทางอวกาศที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ผอ.GISTDA คาดรู้ผลไม่เกิน 2 ปี อาจตั้งที่นราธิวาสหรือชายฝั่งภาคตะวันออก

วันนี้ (13 ก.พ. 66) สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และสถาบันวิจัยการบินและอวกาศเกาหลี Korea Aerospace Research Institute (KARI) ร่วมลงนามความร่วมมือการศึกษาความความเป็นไปได้ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย

โดยมี ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อํานวยการ GISTDA ดร.ซัง รยุน ลี ประธาน KARI และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และ นาย เบ เจ ฮยุน อัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานฯ ณ กระทรวง อว. กรุงเทพมหานคร

ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งจะเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีในครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอวกาศ (space industry/ space economy) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ รวมไปถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กิจการอวกาศที่จะเป็นกลไกสำคัญในการใช้ประโยชน์จากอวกาศสู่การพัฒนาประเทศบนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อไป

“วันนี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือว่า นานาประเทศสนใจในประเด็นความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ประเทศไทยก็มีความเข้มแข็งทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยี” ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กล่าว

ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างท่าอวกาศยาน หรือ Spaceport ในประเทศไทย ด้วยศักยภาพและความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สำหรับการจัดตั้งท่าอวกาศยานมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง การได้ร่วมมือกับ KARI ซึ่งเป็นองค์กรด้านการวิจัยอวกาศที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาตินี้เกิดขึ้นหลังจากการลงนาม MOU ความร่วมมือด้านกิจการอวกาศ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา

ดร.ปกรณ์ กล่าวต่อไปว่า การศึกษาความเป็นได้ในการสร้างท่าอวกาศยานในประเทศไทยครั้งนี้ KARI และรัฐบาลเกาหลี จะเป็นผู้ดำเนินการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับทีมไทยแลนด์ โดย GISTDA จะสนับสนุนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งร่วมจัดกิจกรรมด้านอวกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวจะศึกษารายละเอียดเชิงลึกอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ สถานที่จัดตั้ง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ภัยพิบัติ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ชนิดของจรวดนำส่ง ใบอนุญาตและกฎระเบียบข้อบังคับในการนำส่งจรวด รวมทั้งโมเดลด้านธุรกิจ การวิเคราะห์ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการทำความเข้าใจกับสังคม เป็นต้น ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้นี้จะต้องเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในเวลา 1.5-2 ปี และหากเป็นไปได้จะดำเนินการก่อสร้างอีก 4-5 ปี

“ถ้าเราไม่เริ่มวันนี้ เราก็ไม่มีโอกาสเริ่ม ถ้าเราเริ่มวันนี้อย่างน้อยเรารู้ว่าประเทศไทยเหมาะสมและมีโอกาสมากน้อยเพียงใดในการสร้างท่าอวกาศยาน” ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว

ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวอีกว่า การศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ ต่อยอดขยายกิจการอวกาศของประเทศและภูมิภาคให้ไปสู่เชิงพาณิชย์ที่จะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่กับประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

ผู้สื่อข่าว The Reporters ถามถึงพิกัดที่ตั้งเป้าหมายของตามการศึกษาเบื้องต้น ผู้อำนวยการ GISTDA ตอบว่า ในความเป็นไปได้และเหมาะสมคาดว่าจะใกล้ทะเล เพราะเมื่อส่งจรวดขึ้นไป อาจมีการตกหรือทิ้งส่วนประกอบไปบ้าง ดังนั้น การตกในที่ที่ไม่มีคนอยู่จะดีที่สุด ที่ที่เป็นไปได้ที่มีการศึกษาคือจังหวัดนราธิวาส หรือในพื้นที่ภาคตะวันออก

เมื่อถามถึงความเห็นของสถาบันวิจัยฯ ประเทศเกาหลี ต่อการสร้างท่าอวกาศยานในไทย ดร.ซัง รยุน ลี ตอบว่า แนวความคิดในการเสนอให้สร้างท่าอวกาศยานมาจากประเทศไทย ส่วนทางเราทำงานด้านการวิจัยเพื่อส่งอวกาศยานมาหลายปี เห็นว่าการทำงานของ GISTDA เองก็เป็นไปอย่างแข็งขัน เราหารือกันถึงความร่วมมือต่าง ๆ การเริ่มต้นด้วยการศึกษาความเป็นไปได้นี้ จึงเปิดทางให้พัฒนาความร่วมมือต่อไปในอนาคตได้อีก

“ผมหวังว่าข้อตกลงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเป็นพันธมิตรทางอวกาศที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แฟซิฟิก” ดร.ซัง รยุน ลี ประธานสถาบันวิจัยการบินและอวกาศเกาหลี กล่าว

Related Posts

Send this to a friend