Intergenerational Literacy ทักษะจำเป็นในโลกที่มีคนหลายเจนฯ

ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัทเทคฯ และภาคการเงินระดับโลก ผู้เขียนหนังสือ Twists & Turns กล่าวในงาน มนุษย์ต่างวัยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดงาน ‘มนุษย์ต่างวัย Fest 2025 : ชีวิตดี…ชีวิต ซีซัน 2 It’s Okay To Be You’ เพื่อชาวมนุษย์ต่างวัยที่กำลังมองหาคู่มือการออกแบบเพื่อการเริ่มต้นชีวิตในซีซันใหม่ หรือ ชีวิต ซีซัน 2 ในเวอร์ชันที่คุณอยากจะเป็น ว่า โลกที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนที่เกิดมาในแต่ละ Generation จึงมีความแตกต่างกันทั้งทางความคิดและการกระทำ แต่เราจะเปลี่ยนความแตกต่างระหว่างวัยนี้ให้เป็นพลังได้อย่างไร
Gen Driversity สิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ประเทศไทยที่คนทำงานเกินอายุเกษียณและวัยทำงานที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่ และลูก ต้องทำงานหนักยิ่งขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจและสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ในตลาดแรงงานยังคงมีคนเจน Baby boomer และมีในอีก 4 ปีข้างหน้าคนเจน Alpha จะเข้าสู่ตลาดแรงงานเช่นกัน ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีคนถึง 5 generation อยู่ร่วมกันในที่ทำงาน เป็น multi generational work force
สาเหตุหนึ่งของการถูก Disruption มาจากการไม่รับรู้ ‘เสียงที่ไม่ได้ยิน’
ทุกวันนี้โลกหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ยุดหนึ่งเราใช้เวลาหลายปีกว่าทุกคนจะใช้โทรทัศน์ในชีวิตประจำวัน แต่การมาของ AI อย่าง Chat gpt ถูกเอามาใช้อย่างแพร่หลายภายในปีเดียว และ AI Deepseek ที่มาทีหลังใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้น สำหรับคนเจนหนึ่งบางสิ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องของอนาคต คนอีกเจนหนึ่งอาจเห็นเป็นเรื่องในปัจจุบัน แต่ในคนอีกเจนหนึ่งอาจมองว่าเป็นเรื่องที่เก่าไปแล้ว การไม่เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หรือก็คือ การไม่รับรู้ถึง ‘เสียงที่ไม่ได้ยิน’ อาจทำให้เราถูก Disruption โดยไม่รู้ตัว
มองความต่างของเจนฯ ให้เป็นพลัง
“การอยู่ร่วมกันของคนต่างวัยจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสสำคัญ สิ่งจำเป็นที่สุด คือ การมี Appreciate เห็นคุณค่าว่า ความต่างของเจนไม่ใช่ความขัดแย้งแต่เป็น ‘พลัง’ ที่จะร่วมกันสนับสนุน ช่วยกันฟังเสียงการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นเกราะป้องกันในการถูก Disruption จาก ‘เสียงที่ไม่ได้ยิน’
“แต่การจะมี Appreciate ได้นั้นจำเป็นต้องมี Empathise หรือความเข้าอกเข้าใจต่อความแตกต่าง ว่า แต่ละคนเติบโตมาในสถานการณ์ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม หรือภาระหน้าที่ ที่แตกต่างกัน ลองใส่รองเท้าของเขาและลองเดินดูจะพบว่าไม่แปลกเลยที่เขาจะตัดสินใจเช่นนั้น นี่คือการมี Empathise แต่ต้องไม่เหมารวม เพราะไม่ใช่เจนฯ นั้นทุกคนจะตัดสินใจแบบเดียวกัน
“และสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การมี Empathise คือ การมี Curious หรือการเปิดใจอยากรู้จัก ความสงสัย ความอยากรู้ คือ ประตูบานแรกสู่การเข้าอกเข้าใจ ลองสมมุติว่าเขาเป็นคนต่างชาติที่มาจากต่างถิ่น มาจากที่ที่แตกต่างจากเรา แม้ว่าเขาจะทำอะไรที่ไม่เหมือนเราแต่เราจะพร้อมเข้าใจและเปิดใจให้กับเขามากกว่าคนไทยด้วยกันโดยไม่รู้ตัว หากเราเข้าใจว่าคนต่างเจนฯ อาจเป็นคนที่มาจากที่ที่ต่างจากเราแล้ว เราจะพร้อมเปิดใจในการทำความรู้จัก และพร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เทคนิค 3E สู่การสื่อสารกับคนข้ามรุ่นอย่างเข้าใจ
“E 1 Empathy : ความเข้าอกเข้าใจ การมีความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่เหมารวมตัดสิน จะช่วยให้คนแต่ละเจนฯ สามารถที่จะเข้าใจกันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลองให้คนต่างเจนฯ มาลองทำตาม คิดตาม และใช้ชีวิตแบบคนอีกเจนฯ หนึ่ง จะช่วยเปิดโลกเปิดมุมมอง นำไปสู่ความเข้าใจระหว่างกันที่ดียิ่งขึ้น
“E 2 Equality : การให้เกียรติระหว่างกัน ยอมรับในคุณค่าและตัวตนของกันและกัน ลองคนต่างเจนฯ ได้ลองสลับบทบาทหน้าที่ของผู้สอนและผู้ฟัง ให้คนที่เคยทำหน้าที่ผู้ฟังมาลองพูด สอน นำเสนอ ในสิ่งที่เขาสนใจหรือมีความถนัดให้กับคนที่เคยเป็นผู้สอนได้ฟังอย่างยอมรับและให้เกียรติ จะนำไปสู่การสร้างพลัง สร้างความมั่นใจให้กับคนที่เคยเป็นผู้ฟัง และได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งของกันและกัน
“E 3 Expression : รู้ภาษา เข้าใจการสื่อสารระหว่างกัน ในการสื่อสารแต่ละคนอาจมีเจตนาเดียวกัน แต่คำที่ใช้ไม่เหมือนกัน และแต่ละเจนฯ มักมีคำที่ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีแตกต่างกัน การพูดคุย ทำความเข้าใจและปรับวิธีการสื่อสารโดยลดสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ชอบทั้งคำพูดและการกระทำจะช่วยการสื่อสารระหว่างกันดียิ่งขึ้น
ความแตกต่างสู่การสร้างพลังร่วมกัน
“เมื่อเราเปิดใจที่จะรู้จักกัน มีความเห็นอกเห็นใจโดยไม่เหมารวม และรับรู้ว่าความแตกต่างนั้นว่าไม่ใช่ความแตกแยกแต่เป็นพลัง จะทำให้เกิดความร่วมมือทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข และความแตกต่างระหว่างวัยจะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป”