ENVIRONMENT

นักวิชาการชงแนวคิด ‘ฝายดักตะกอน-ระบบสูบ’ แก้สารพิษน้ำกก หากหยุดเหมืองเมียนมาไม่ได้

วันนี้ (24 พ.ค. 68) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์พันธุ์ กาญจนการุณ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงแนวทางการจัดการปัญหามลพิษในแม่น้ำกก กรณีไม่สามารถเจรจาให้แหล่งกำเนิดมลพิษในประเทศเมียนมา ซึ่งคาดว่ามาจากการทำเหมืองแร่ ยุติกิจกรรมได้ โดยเสนอการสร้างฝายดักตะกอนดินและระบบสูบตะกอนเป็นทางเลือกในการบรรเทาปัญหา จากการตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมพบการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ครั้งสำคัญบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกกในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะโซน A ซึ่งอยู่เหนือชายแดนไทยประมาณ 8.2 กิโลเมตร มีการเปิดหน้าดิน และโซน B ซึ่งเป็นพื้นที่เหมืองแร่ทองคำในเมืองยอน ห่างขึ้นไปประมาณ 44.9 กิโลเมตร พบการเปิดหน้าดินเพื่อทำเหมืองอย่างชัดเจนในช่วงปี 2565-2567 โดยไม่มีการสร้างฝายดักตะกอนหรือบ่อกักกากแร่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักของมลพิษข้ามพรมแดน เนื่องจากกิจกรรมเหมืองแร่สามารถปล่อยสารปนเปื้อนหลายชนิด เช่น ปรอท ไซยาไนด์ สารหนู ตะกั่ว และแคดเมียม แม้ไซยาไนด์จะสลายตัวได้เร็ว แต่สารหนูและตะกั่วสามารถปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำได้ยาวนาน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์พันธุ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ซึ่งเดิมมีจุดตรวจ 4 จุด ระหว่างปี 2560-2567 แต่ไม่เคยตรวจสารหนูและตะกั่ว จนกระทั่งต้นปี 2568 ได้มีการตรวจเพิ่มเติมตามข้อเรียกร้องหลังพบความขุ่นของน้ำผิดปกติ ผลการตรวจเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 บริเวณอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำกกไหลเข้าสู่ประเทศไทย พบค่าความขุ่นสูงและมีปริมาณสารหนู 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร และยังพบแบคทีเรีย ทำให้ทางการต้องประกาศเตือนให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำ ต่อมาในช่วงวันที่ 21-22 เมษายน 2568 พบว่าค่าสารหนูในอำเภอแม่อายเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยเกินค่ามาตรฐานถึง 1.5 เท่า แม้ปริมาณนี้จะยังไม่ส่งผลต่อห่วงโซ่อาหารในทันที แต่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของสารหนูถือเป็นเรื่องน่าตกใจ นอกจากนี้ การตรวจสอบตะกอนดินยังพบว่ามีค่าเกินเกณฑ์การปกป้องสัตว์หน้าดิน ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการจัดการจะยิ่งทวีความรุนแรง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์พันธุ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า สารหนูที่พบในแม่น้ำกกมีทั้งในรูปแบบที่ละลายน้ำและจับตัวกับตะกอนดิน จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าการแพร่กระจายของสารหนูในน้ำจะลดความเข้มข้นลงอย่างรวดเร็วในบริเวณต้นทาง ก่อนจะถูกพัดพาไปสะสมในพื้นที่ปลายทาง สถานการณ์ในแม่น้ำกกน่ากังวลเนื่องจากแม้ในฤดูแล้ง สารหนูก็ยังถูกพัดพามาถึงเชียงรายได้ แสดงว่ามีการเดินทางของมลพิษมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร และจะยิ่งรุนแรงขึ้นในฤดูฝนที่มีกระแสน้ำพัดพาได้เร็วยิ่งขึ้น

แนวทางการจัดการสารปนเปื้อนที่ตนเองได้เสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการของจังหวัดเชียงราย หากไม่สามารถหยุดกิจกรรมจากแหล่งกำเนิดได้ มี 3 วิธีหลัก คือ 1. การเจือจางโดยเพิ่มปริมาณน้ำในแม่น้ำกก 2. การตกตะกอนโดยสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนและนำตะกอนไปกำจัดเป็นประจำ และ 3. การใช้กระบวนการทางเคมี เช่น การดูดซับตามธรรมชาติ หรือการใช้ออกซิเจนในน้ำ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการผ่านทางจังหวัดเชียงรายแล้ว 3 ข้อ คือ ตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษ ลดความตื่นตระหนกเรื่องโลหะหนัก และเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย ส่วนกรณีสารตะกั่วที่พบ คาดว่าต้องมาจากกิจกรรมเหมืองแร่ เนื่องจากในไทยไม่มีเหมืองในบริเวณดังกล่าว ขณะที่สารหนูอาจมีส่วนที่ละลายจากแหล่งธรรมชาติได้บ้าง แต่กิจกรรมเหมืองแร่จะทำให้มีปริมาณสูงขึ้นมาก

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารหนูที่พบในแม่น้ำกกกับมาตรฐานความปลอดภัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์พันธุ์ ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดค่ามาตรฐานสารหนูสูงสุดในอาหารไว้ที่ 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และร่างกายคนสามารถขับสารหนูออกได้วันละประมาณ 0.128 มิลลิกรัม จากข้อมูลสารหนูที่ตรวจพบในเดือนมีนาคม (0.019 มิลลิกรัมต่อลิตร – ตัวเลขนี้จากส่วนการคำนวณผลกระทบ) หากคนน้ำหนัก 60 กิโลกรัมบริโภคน้ำจากแม่น้ำกกวันละ 2 ลิตร จะได้รับสารหนูโดยตรง 0.038 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งยังต่ำกว่าค่าที่ยอมรับได้ และเมื่อรวมกับปริมาณสารหนูที่ได้รับจากอาหารทั่วไป (ประมาณ 0.027-0.031 มิลลิกรัมต่อวัน จากการศึกษาปี 2542-2544) ยอดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 0.069 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวังการสะสมในระยะยาว โดยเฉพาะในผลผลิตทางการเกษตรและการสัมผัส

เนื่องจากสารหนูในตะกอนดินแม่น้ำกกอยู่ในระดับที่เกินมาตรฐานการปกป้องสัตว์หน้าดินแล้ว หากปล่อยให้สะสมต่อไปจะเป็นอันตราย การจัดการสารหนูในรูปแบบตะกอนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ข้อเสนอหลักคือการสร้างฝายดักตะกอนร่วมกับระบบสูบตะกอนไปบำบัด โดยพิจารณาว่าฝายกึ่งถาวรน่าจะเหมาะสมกว่าฝายถาวรซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องผลกระทบจากน้ำท่วม ค่าใช้จ่ายสูง และการขออนุญาตก่อสร้างที่ยุ่งยาก โดยเฉพาะหากการเจรจากับกลุ่มว้าในพื้นที่ทำเหมืองต้องใช้เวลานาน การมีฝายกึ่งถาวรจะช่วยลดการสะสมของสารหนูในลำน้ำได้เร็วกว่า พื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อสร้างคือบริเวณบ้านท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และช่วงก่อนที่แม่น้ำกกจะไหลเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย ระบบที่เสนอไม่เพียงแต่มีฝายดักตะกอน แต่ต้องมีระบบสูบตะกอนไปยังรางกรอง บ่อบำบัด และลานกองทรายที่ควบคุมได้ ตะกอนทรายที่ปนเปื้อนสามารถนำไปจัดการต่อด้วยเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการชะล้างของสารหนู และอาจนำไปใช้ในงานก่อสร้างที่ไม่สัมผัสฝนได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์พันธุ์ ยืนยันว่า ข้อเสนอนี้เป็นทางเลือกในกรณีที่ไม่สามารถหยุดกิจกรรมเหมืองในฝั่งเมียนมาซึ่งอยู่ในพื้นที่ของกลุ่มว้าได้โดยง่าย หรือต้องใช้เวลานานในการเจรจา ฝายกึ่งถาวรสามารถออกแบบและก่อสร้างได้ในเวลาไม่นานนัก อาจประมาณ 2 เดือน โดยกรมชลประทานหรือกรมโยธาธิการและผังเมืองน่าจะดำเนินการได้ แม้จะมีค่าใช้จ่ายแต่ก็สามารถรื้อถอนได้เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ปัญหาอาจยืดเยื้อหลายปี ทั้งนี้ สามารถพิจารณาร่วมมือกับภาคเอกชนในการประมูลดูดทรายภายใต้การควบคุมที่เหมาะสมเพื่อช่วยลดปัญหาได้อีกทางหนึ่ง สิ่งที่น่ากังวลคือช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง หากยังไม่มีมาตรการดักตะกอน การฟื้นฟูลำน้ำทั้งระบบจะทำได้ยากยิ่งขึ้นหากปล่อยให้สารพิษสะสมและแพร่กระจายไปเป็นวงกว้าง “ถ้ารัฐบาลสามารถเจรจาให้หยุดกิจกรรมเหมืองได้ก่อน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้ายังไม่สามารถหยุดได้ ก็จำเป็นต้องหามาตรการอื่นมารองรับเพื่อลดการปนเปื้อนของสารพิษให้ได้รวดเร็วที่สุด” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์พันธุ์ กล่าวย้ำ

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat