ENVIRONMENT

สร้างความสมานฉันท์ คนกับช้าง สังคมต้องเข้าใจและร่วมแก้ปัญหาตรงจุด

นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาฯ ปี 2563 ผู้อุทิศตัวทำงานเพื่อสวัสดิภาพช้างไทยมาตลอด 48 ปี จนได้รับฉายาว่า “หมอช้าง” งานนี้ได้สะท้อนแนวคิดว่า “หากช้างป่าและช้างบ้านของไทยมีจำนวนลดลง หรือมีภาวะเสี่ยงเข้าใกล้สูญพันธุ์ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ ต่อระบบนิเวศทั้งหมด รวมถึงมนุษย์ ซึ่งอยู่ปลายห่วงโซ่อาหารในท้ายที่สุด จึงต้องรักษาสมดุลประชากรช้างให้เหมาะสม” แม้ในวันนี้สวัสดิภาพของช้างดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่รอคอยการแก้ไข อย่างเป็นระบบและรอบด้านยิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ขอให้ทุกภาคส่วนในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม ทำความเข้าใจธรรมชาติและทุก (ข์) ปัญหาของช้าง อันเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และสภาพอากาศ พร้อมทั้งแจงแนวทางแก้ไขปัญหา ที่ไม่เพียงจะเป็นทางรอดของช้างไทย แต่ยังหมายถึงทางรอดของระบบนิเวศ สัตว์ป่า และมนุษยชาติในการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล

นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ กล่าวว่า “ช้างป่ามีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ ช้างเป็นผู้หว่านและกระจายเมล็ดพันธุ์พืช และให้ปุ๋ยบำรุงพันธุ์ไม้นานา เมื่อช้างถ่าย อุจจาระของช้างเป็นปุ๋ยชั้นดี มักมีเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆ พร้อมงอกเป็นต้นอ่อนและเติบโตเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและอายุยืนตามธรรมชาติ เพิ่มความหลากหลายและความหนาแน่นของต้นไม้ในป่า เป็นแหล่งอาหารให้สัตว์ป่า และเป็นประโยชน์ต่อการดำรงอยู่ของวงจรสิ่งมีชีวิตโดยรวม เมื่อป่าอุดมสมบูรณ์ ระดับออกซิเจนก็เพิ่มขึ้น ตามมาด้วยปริมาณความชื้น และปริมาณน้ำฝน ซึ่งทั้งหมดหมายถึงระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ที่จะดูแลหล่อเลี้ยงทุกชีวิตบนโลก

ปัจจุบันภาพของช้างป่าตามที่ปรากฏในข่าว ดูจะเป็น “ผู้ร้ายทำลายพืชไร่” มากกว่า “ผู้สร้างและบำรุงป่า” ปรากฎการณ์นี้เป็นผลพวง ของการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการบุกเบิกป่าเพื่อทำเป็นพื้นที่การเกษตร และที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องสภาวะโลกร้อน ที่มีผลต่อปริมาณน้ำฝน ภูมิอากาศ ทำให้สภาพความอุดมสมบูรณ์ของป่าเปลี่ยนแปลงเมื่อป่าได้รับผลกระทบ ขาดความสมดุลและสมบูรณ์ ความเป็นอยู่ของช้าง ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ช้างเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่ต้องการบริโภคอาหาร และน้ำต่อวันเป็นจำนวนมาก เมื่ออาหารและน้ำในป่าลดลง ก็ทำให้ช้างต้องเดินทางไปหาอาหาร และน้ำในพื้นที่ที่มีอาหาร ซึ่งก็ได้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรของประชาชนไปแล้ว”

“ปกติสัตว์ป่าจะมีสัญชาตญาณ ในการออกหากินในช่วงเวลาประจำของแต่ละปี โดยเฉพาะหน้าแล้ง ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ป่าขาดแคลนแหล่งน้ำ ช้างป่าจะลงมาหาแหล่งน้ำในพื้นที่ด้านล่าง ซึ่งเป็นที่ประจำของช้างป่าอยู่เดิม แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่ ทำไร่สับปะรดของประชาชนไปแล้ว ยิ่งเมื่อเกษตรกรทำไร่สับปะรด ผลไม้ที่มีรสชาติที่ช้างชอบ อีกทั้งที่ไร่ก็มีแหล่งน้ำ ทำให้เกิดเหตุการณ์ช้างป่าจำนวนมาก ลงมากินสับปะรดและน้ำ สร้างความเสียหายให้เกษตรกร และเกิดการหาวิธีล้มช้าง ทำให้ช้างตายเป็นจำนวนมาก”

“จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างช้างป่า กับเจ้าของไร่สับปะรด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ตั้งกรรมการเพื่อดูแลปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซื้อสับปะรดในไร่ของราษฎร เพื่อพระราชทานกลับไปให้ช้างป่ากินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสความว่า “ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก” คือ ปล่อยให้ต้นไม้ยืนต้นขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยไม่มีการรบกวนจากคน จนเป็นอาหารของช้างป่าและสัตว์ป่าชนิดอื่น และยังมีพระบรมราชกระแสรับสั่ง ให้ใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยเมล็ดพันธุ์พืชในบริเวณที่จะเป็นป่าธรรมชาติในอนาคตด้วย จากแนวพระราชดำริ ราษฎรในเวลานั้นร่วมใจถวายคืนที่ดิน สำหรับปลูกสับปะรดให้กับทางราชการ นอกจากนี้ทางโครงการยังจัดการอบรม ให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ป่ากุยบุรี ได้เห็นคุณค่าระหว่างช้างป่าและสัตว์ป่าชนิดอื่น ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เพื่อฟื้นฟูสภาพป่า และพิทักษ์รักษาสัตว์ป่าจากการถูกล่าด้วย”

“จากประสบการณ์ในการทำงาน ในโครงการตามแนวพระราชดำริ และอีกหลายพื้นที่ทั่วประเทศ การคืนพื้นที่ป่าให้ช้าง ควรคำนึงถึงการสร้างแหล่งน้ำ และแหล่งอาหารคู่กันไป เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ค่อนข้างขี้ร้อน ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือใกล้แหล่งน้ำ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย การทำแหล่งน้ำ ไม่จำเป็นต้องเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ วิธีที่ดีที่สุดคือขุดบ่อดินเล็กๆ กระจายไปทั่วทั้งป่าเพื่อให้สัตว์ป่าทั้งหลาย มาดื่มกินน้ำจากแหล่งน้ำ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย ส่วนแหล่งอาหารนั้น ช้างชอบกินไผ่ ไม้ยืนต้นและเถาวัลย์ชนิดต่างๆ ดังนั้นควรปลูกพืชเหล่านี้กระจายให้ทั่วป่า ก็จะเป็นแหล่งอาหาร ที่สามารถที่อยู่กับป่าไปได้ค่อนข้างนาน หากมีชนิดที่หลากหลายและจำนวนมาก ช้างก็สามารถใช้เป็นอาหารเพียงพอได้ตลอดทั้งปี ดังนั้นหัวใจของการดูแล และสร้างแหล่งอาหารและน้ำให้ช้างป่าและสัตว์ป่า ว่าไม่จำเป็นต้องริเริ่มโครงการขนาดใหญ่ ใช้ทุนหรือพลังมาก “แค่ทำสิ่งเล็กๆแต่ให้กระจายไปทั่วทั้งป่าก็ช่วยได้มาก”

ส่วนช้างบ้าน ประเทศไทยมีช้าง 2 แบบ คือ ช้างป่า และช้างบ้าน หรือช้างที่อยู่ในวิถีวัฒนธรรมมาแต่โบราณ ช้างบ้านผูกพันกับชนชาวสยามมายาวนาน เป็นเพื่อนร่วมรบ กอบกู้บ้านเมือง เป็นเพื่อนขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยที่มีการให้สัมปทานตัดไม้ ช้างก็เป็นแรงงานชั้นดี ช่วยลากจูงไม้ซุงออกจากป่า จนปัจจุบันช้างถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ ที่สะท้อนแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับความเป็นไทย หรือมาจากประเทศไทย และเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว และเม็ดเงินในภาคบริการและการท่องเที่ยว

“อัตราการตายของช้างเลี้ยงจำนวนมาก เกิดมาจากโรคระบาด เช่น โรคคอบวมจากเชื้อแบคทีเรีย หรือ ในปัจจุบันโรคระบาดที่อันตรายมาก คือโรคไวรัสลำไส้อักเสบ ติดต่อเฉียบพลันในช้าง (Elephant Endotheliotropic Herpesvirus – EEHV) ซึ่งทำให้ช้างที่ติดเชื้อ เส้นเลือดฝอยแตกทั้งตัว อุจจาระเป็นเลือดและตายภายใน 48 ชั่วโมง โดยเฉพาะช้างเด็กมีโอกาสตายสูงมาก ในปี 2554 เราสูญเสียช้างบ้าน ไปด้วยโรคระบาดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะลูกช้าง กว่าจะหาตัวยามารักษาและช่วยชีวิตช้างได้ ต้องใช้เวลา 5 -6 ปี ความสำเร็จจากการหายา รักษาโรคระบาดร้ายแรงในช้าง ทำให้ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของช้างลดลง ในปี 2564 ช้างบ้านเสียชีวิตจากโรคระบาดเพียง 2 เชือกเท่านั้น เราหวังให้อัตราการเสียชีวิตของช้างบ้าน จากโรคระบาดเป็น 0% ในอนาคต”

“ตลอดระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา ทีมสัตวแพทย์ช่วยกันลดอัตรา การเสียชีวิตของช้าง และเพิ่มอัตราการเกิด รวมถึงขึ้นทะเบียนช้างเลี้ยง (บ้าน) โดยในปัจจุบัน มีช้างบ้านขึ้นทะเบียนและติดไมโครชิพแล้วประมาณ 4,500 เชือก แต่ในอนาคต เราก็ต้องดูกันว่าประเทศไทย มีศักยภาพในการดูแลเฉพาะช้างบ้านประมาณกี่เชือก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ รวมทั้งเฝ้าระวังการการทารุณกรรม การปล่อยละเลยสวัสดิภาพ การหาประโยชน์จากช้างอย่างไม่เป็นธรรม และโรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้พระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ให้ “นำช้างกลับบ้าน” โดยปัจจุบัน มีการตั้ง “ศูนย์คชศึกษา” ที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ควาญช้างนำช้างออกมาเร่ร่อน”

ทั้งนี้ทีมสัตวแพทย์ องค์กรพิทักษ์สัตว์ทั้งหลาย ก็พยายามผลักดัน ให้เกิดกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งเราใช้เวลาประมาณ 20 ปี ในการพยายามร่าง และเสนอร่างกฏหมายนี้เข้าสภา จนในที่สุดก็ได้พระราชบัญญัติ ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งพ.ร.บ.ฉบับนี้ส่งผลให้จำนวนช้างเร่ร่อน ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งอาจเพราะบทลงโทษในกฎหมาย เช่น มาตรา 31 ที่ระบุว่าหากพบเห็นการทารุณกรรมสัตว์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ก็เป็นเพราะความร่วมมือจากประชาชน ที่ช่วยเฝ้าระวังและรายงานเหตุ การทารุณกรรมสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ นำไปสู่การแจ้งจับและดำเนินคดีในศาล ปัจจุบัน เราจึงไม่เห็นช้างเร่ร่อน ที่ไม่ถูกผลักดันให้กลับถิ่นฐานเดิมที่จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ เหลืออยู่เลยในทุกจังหวัด

ช้างเป็นหนึ่งในแม่เหล็กของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศ ดังนั้นเราจำเป็นต้องเข้าใจ แนวทางการดูแลสวัสดิภาพของช้าง เพื่อความสุขและความปลอดภัย ของทั้งช้างและนักท่องเที่ยว สำหรับผู้ประกอบการ ควรดูแลให้ช้างได้รับสวัสดิภาพ ที่เหมาะสมและเพียงพอ เช่น ได้รับอาหาร 10% ของน้ำหนักตัว และดื่มน้ำสะอาดวันละ 200 ลิตร เพื่อควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ทั้งนี้ควรจัดสรรให้มีแหล่งน้ำ ที่ช้างจะลงไปแช่หรือใช้ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายได้ และควรให้เวลาช้างได้เล่นน้ำเอง ประมาณ 15-20 นาที เป็นระยะๆ เนื่องจากช่วงเวลาที่ให้บริการนักท่องเที่ยว อาจทำให้อุณหภูมิของช้างสูงขึ้น เกิดความเครียดได้ง่าย และนอกจากแหล่งน้ำแล้ว ก็ควรจัดสถานที่สร้างร่มเงา หรือปลูกต้นไม้เพื่อให้ช้างหลบคลายร้อนและพักผ่อน

จัดให้มีการตรวจสุขภาพช้างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคติดต่อต่างๆ และป้องกันแมลงรบกวน เช่น ยุง แมลงวันดูดเลือดและเหลือบ เพราะจะทำให้ช้างเกิดความเครียด และทำให้เสียเลือดตลอดเวลา อาจจะทำให้เกิดเป็นภาวะโลหิตจางได้ หากช้างใกล้ที่จะเกิดภาวะโลหิตจาง หรือเกิดเป็นภาวะนี้ขึ้นมา โรคแทรกซ้อนอื่นๆจะเข้ารุมเร้าทันที และดูแลสวัสดิภาพของควาญช้าง เพื่อที่เขาจะได้เลี้ยงช้างได้อย่างมีคุณภาพ และควบคุมความประพฤติของควาญ โดยเฉพาะการดื่มของมึนเมา เพื่อให้ควาญอยู่ในสภาพ ที่พร้อมในการดูแลช้างและให้บริการนักท่องเที่ยว

สำหรับนักท่องเที่ยว จำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจธรรมชาติของช้าง ไม่ทำให้ช้างเครียด ไม่รังแกหรือแหย่ช้าง หรือปล่อยให้เกิดการรังแก หรือทารุณช้าง หากอยากสัมผัสช้าง ก็อาจลูบไล้เบา ๆบนตัวช้าง แต่ทั้งนี้ควรถามควาญช้างก่อน เพื่อรู้จักอุปนิสัยของช้าง ส่วนนักท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ไม่ว่านักท่องเที่ยวทั่วไป หรือนักท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ มีแนวทางในการท่องเที่ยว ดังนี้

1.ขับรถยนต์ด้วยความเร็วไม่เกิน 30 – 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

2.เมื่อเจอช้างป่า ให้หยุดการเคลื่อนไหว ปล่อยให้ช้างเดินผ่านไปโดยสวัสดิภาพ ไม่ใช้เสียงแตร ไม่เปิดไฟหน้าเป็นการรบกวน ไม่ใช้กล้องถ่ายรูป หรือโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพโดยใช้แฟลช ไม่ส่งเสียงเพื่อให้ช้างชะงัก

3.หากเป็นนักท่องเที่ยว ที่จะศึกษาด้านธรรมชาติวิทยา ควรเข้าพื้นที่ป่าพร้อมกับเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ความรู้ เพื่อได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องปฏิบัติได้อย่างปลอดภัย และจะต้องเดินตามไปในเส้นทางเดียวกัน

4.งดการบริโภคสัตว์ป่า นอกจากผิดกฎหมายแล้ว ที่สำคัญคือผู้บริโภคอาจติดโรค และแพร่เชื้อโรคที่อยู่ในสัตว์ป่าไปสู่คนในครอบครัว และคนใกล้ชิดได้ เช่น วัณโรค โรคพยาธิต่างๆ ซึ่งอาจเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหรือรักษายาก และอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิต

5.ไม่ทำร้ายสัตว์ป่าและไม่ตัดไม้ทำลายป่า และปฏิบัติตัวตามกฏหมายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าปี พ.ศ. 2562 (ฉบับปรับปรุง) อย่างเคร่งครัด

6.ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ในการพิทักษ์สัตว์ป่า ไม่ว่าบริจาคสนับสนุนกิจกรรม หรือสนับสนุนองค์กรที่มีแนวคิดเพื่อการรับผิดชอบต่อสังคม หรือมีนโยบายมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน (SDGs Goal ที่ 15 ชีวิตบนบก และ 13 แก้ปัญหาโลกร้อน) อาทิ กิจกรรมการทำโป่งเทียม ปลูกพืช และทำแหล่งน้ำสะอาดให้สัตว์ป่า

“หากคนในสังคมมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ที่เหมาะสมกับสัตว์ป่า เช่น ช้าง ไม่ว่าช้างป่า ช้างบ้าน และช่วยกันขยายความเข้าใจ กระจายข่าวสารออกไปกว้างขวางเรื่อย ๆ รวมถึงเป็นหูเป็นตารายงานเหตุการทารุณกรรมสัตว์ และสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์ระบบนิเวศตามกำลัง เพียงเท่านี้ ชะตากรรมของช้างไทยก็มีหวังรอด อยู่คู่ระบบนิเวศและทุกชีวิตบนโลกต่อไป”

Related Posts

Send this to a friend