ENVIRONMENT

‘ศาลปกครอง’ ยกฟ้องคดีชาวบ้าน 8 จว.ลุ่มน้ำโขงฟ้อง 5 หน่วยงานรัฐเพิกถอนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรี

‘ศาลปกครอง’ ยกฟ้อง กรณีชาวบ้าน 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง ฟ้อง 5 หน่วยงานรัฐ เรื่องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขือนไซยะบุรี หลังต่อสู้ในชั้นศาลนานร่วม 10 ปี

วันนี้ (17 ส.ค. 65) ศาลปกครองกลาง อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยกฟ้อง กรณีเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ร่วมกับมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ร่วมกันฟ้อง 5หน่วยงานรัฐ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรน้ำ (ในฐานะ สำนักงานเลขาธิการคณะการมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย) และคณะรัฐมนตรี

เพื่อขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี รวมถึงให้หน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ และเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายกำหนด ภายหลังเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ ในเดือนตุลาคม 2562 ได้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ติดลุ่มแม่น้ำโขง และระบบนิเวศน์

ซึ่งศาลได้กำหนดประเด็นในการวินิจฉัย 2 ประเด็น

  1. ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสมหรือไม่ และได้ดำเนินการจัดการรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอ และจริงจังหรือไม่
  2. ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนในการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือไม่

จากทั้ง 2 ประเด็นที่ศาลวินิจฉัย ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นพ้องด้วยผลตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น จึงมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า สัญญาการจัดซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อตัวผู้ฟ้องคดี หรือประชาชนที่อยู่ลุ่มแม่น้ำโขง แต่ผลกระทบเกิดขึ้นจากเขื่อน ไม่ใช่จากสัญญาซื้อไฟฟ้า

รวมถึงเรื่องกระบวนการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ที่จะต้องมีการประกาศประเภทกิจการที่จะต้องทำ EIA ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าสัญญาซื้อไฟฟ้าจะต้องทำรายงาน ศาลจึงเห็นว่า สัญญาซื้อไฟฟ้าจึงไม่จำที่จะต้องทำรายงานฉบับดังกล่าว

ด้าน ส. รัตนมณี พลกล้า ทนายในคดีนี้ กล่าวภายหลังศาลมีคำพิพากษาออกมาว่า ก่อนหน้าที่พวกเราได้ฟังข้อมูล เหมือนตัวเขื่อนจะดำเนินการโดย กฝผ. แต่เขื่อนไม่ได้ถูกสร้างโดย กฝผ. แต่เป็นบริษัทเอกชน ซึ่งการจะฟ้องด้วยกฎหมายของไทยต่อการฟ้องเอกชน จำเป็นต้องใช้กฎหมายแพ่ง แต่กฎหมายแพ่ง ต้องรอให้เกิดเหตุ หรือเกิดผลกระทบเท่านั้นถึงจะฟ้องได้ ซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฟ้องในลักษณะเชิงป้องกันได้ พวกเราจึงมาอาศัยอำนาจของศาลปกครองเพื่อดูช่องทางที่จะสามารถฟ้องในลักษณะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งกลายเป็นในลักษณะของสัญญาซื้อไฟฟ้า

ในส่วนของกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ที่มีการฟังความเห็นจาก 3 จังหวัด และการเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ที่ศาลเห็นว่าดำเนินการไปโดยชอบแล้วนั้น ซึ่งตนเองมองว่า กระบวนการดังกล่าวมันเพียงพอแล้วหรือไม่ รวมถึงเรื่องของข้อมูลผ่านเว็บไซต์ในปัจจุบันไม่ได้มีการเผยแพร่อีกเลย หลังจากเขื่อนไซยะบุรี ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ประชาชนหรือชาวบ้านจะได้รับบรรทัดฐานในการปฎิบัติที่ดีของหน่วยงานรัฐอย่างไร เพราะเป็นข้อมูลที่ประชาชนชาวบ้านสามารถนำมาฟ้องได้ หน่วยงานก็ปิดข้อมูลหรือไม่ให้ข้อมูลใด ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีช่องทางไหนที่นำมาใช้ได้

รวมถึงเรื่อง ที่ศาลชี้เรื่องคณะกรรมการนโยบายพลังงาน ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลติดตามเรื่องพลังงานทั้งหมด แต่ปัจจุบันแล้วหน่วยงานดังกล่าวมีการติดตามเรื่องของเขื่อนไซยะบุรีมากน้อยเพียงใด

ส. รัตนมณี กล่าวต่อว่า ประเด็นหลังจากนี้ คงต้องกลับไปอ่านในลายละเอียดอีกครั้ง ที่ศาลใช้คำว่าเห็นพ้องด้วยผล แสดงว่าเหตุผลอาจจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตคือ ศาล ชี้เรื่องของความเป็นโครงการของสัญญาการจัดซื้อไฟฟ้าอีกรอบนึง เหมือนกับตอนที่ศาลปกครองสูงสุดที่สั่งรับฟ้อง เพราะเห็นว่าเป็นโครงการอยู่แล้ว

อีกทั้งตอนนี้เหมือนศาลจะแยกประเด็นเรื่องของสัญญาไฟฟ้ากับการก่อสร้างเขื่อน ซึ่งเราจะต้องกลับไปทบทวนดูว่าประเด็นสัญญาไฟฟ้า รวมทั้งตัวแผน PDP ว่ามีผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศหรือไม่ ในเรื่องของค่าไฟที่มีการขึ้นราคา รวมถึงความจำเป็นของการซื้อไฟฟ้า เพราะในส่วนนี้เอง ศาลก็ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัย และกลายเป็นประเด็นที่ใหญ่กว่า ประเด็นของเขื่อนดังกล่าว

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ จากองค์กรแม่น้ำนานาชาติ

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ จากองค์กรแม่น้ำนานาชาติ เปิดเผยว่า ในการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเขื่อนไซยะบุรีนั้น เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ได้รับทราบข้อมูลเลย จึงได้นำมาสู่การฟ้องร้องในครั้งนี้ ซึ่งเราได้ประชุมกับชาวบ้านทั้ง 8 จังหวัด เพราะมองว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผลมันเกิดขึ้นก่อน จึงได้ฟ้องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบขึ้น ส่งผลให้นำมาสู้การฟ้องร้องครั้งแรกในเดือน สิงหาคม ปี 2555 เป็นระยะเวลากว่า 12 ปี

สิ่งที่กังวลเป็นอย่างมากต่อจากนี้คือ ในขณะนี้ คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบในร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเขื่อนแห่งใหม่ ในลุ่มแม่น้ำโขง คือเขื่อนปากแบง ซี่งจะสร้างอยู่ห่างจากพรมแดนไทย-ลาว ที่แก่งผาได อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ประมาณ 97 กิโลเมตร การที่มีคำพิพากษาว่าการจัดทำความคิดเห็น ตามกระบวนการของ PNPCA ของคณะกรรมการลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งจัดเพียง 3ครั้ง ว่าเพียงพอแล้ว เรากังวลว่าการมีส่วนร่วมในอนาคตจะเป็นอย่างไร เราหวังแค่ว่าให้แม่น้ำโขงนั้นอยู่ต่อได้ และหวังว่าในอนาคตก็จะมีกระบวนการอื่น ๆ ที่พวกเราจะทำต่อได้ เพราะแม่น้ำโขงเป็นของทุกคน

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat