‘ดร.สืบสกุล‘ คาดสหรัฐฯ อยากใช้ไทย เป็นฐานแปรรูปแร่ เหตุไทยมี 10 แร่สำคัญ
หวังนายกฯ แสดงความรับผิดชอบหลังลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ขอตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนักในเชียงราย ให้ชาวบ้านเข้าถึงผลตรวจโปร่งใส
วันนี้ (6 พ.ย.68) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) จัดเวทีสาธารณะภายใต้หัวข้อ “MOU สหรัฐฯ เหมืองแร่จีน หายนะไทย: ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ (Critical Minerals) ในลุ่มน้ำกก โขง สาละวิน: นโยบายพรรคการเมืองและข้อเสนอพรรคประชาสังคม“ ดำเนินรายการโดยนางสาวฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters ณ Sea Junction หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร
ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่าไทยกำลังจะเป็นทางผ่านแร่สำคัญจากเหมืองสกปรกของจีนที่อยู่ในเมียนมา จากข้อมูลของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาในเชียงใหม่ ระบุว่า MOU ระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) ต้องการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการแปรรูปของไทย จึงคาดการณ์ได้ว่าสหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเป็นฐานในการแปรรูปแร่ เนื่องจากแร่สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง ใช้งานด้านการป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพลังงาน โดยแรร์เอิร์ธเป็น 1 ใน 50 แร่สำคัญของสหรัฐฯ โดยแร่ 10 ตัวมีในประเทศไทย ได้แก่ ทังสะเตน โพแทช แมงกานีส พลวง แบไรต์ ดีบุก ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว และแทนลาทั่ม
และจากข้อมูล UNCTAC พบว่าเมียนมา เป็นอันดับฃ 3 ในการผลิตแรร์เอิร์ธ โดยไทยนำเข้าแร่สำคัญจากเมียนมา มูลค่านำเข้าพลวงกว่า 100,289 ล้านบาท และแมงกานีส มีมูลค่านำเข้า 1,216 ล้านบาท ทั้งนี้ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ถือเป็นแหล่งแร่ชั้นดี
การส่งออกแร่สำคัญของไทยในปี 68 พบว่ามีการส่งออกแร่พลวง เป็นอันดับ 1 รองมาคือ แมงกานีส ตะกั่วทองแดง และทังสะเตน แม้เหมืองแร่จะอยู่ในเมียนมา แต่เมียนมาก็ปฏิเสธมาโดยตลอด อ้างว่าอยู่ในพื้นที่กองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่ม
ดร.สืบสกุล โชว์หลักฐานว่าเมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 รัฐบาลทหารเมียนมาประชุมกับว้า เพื่อเตรียมการเลือกตั้งปลายปีนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลเมียนมาก็มีความสัมพันธ์กับว้าอย่างแนบแน่น นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตจีนยังเคยไปเยี่ยมที่รัฐฉาน สหรัฐฯ ก็ส่งตัวแทนไปเยี่ยมที่รัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา อินเดียพยายามเข้าถึงแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น
สำหรับผลกระทบแม่น้ำปนเปื้อนสารโลหะหนัก พบว่ามีเกษตรกร 14,638 รายในจังหวัดเชียงราย และนาข้าวที่ 130,881 ไร่ ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้รับการตรวจหาสารโลหะหนัก แม้ภาครัฐบอกว่าผลผลิตทางการเกษตรจะไม่มีสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน ยังไม่มีคนป่วย แต่ขณะนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในช่วง 8 เดือนที่เราได้เรียกร้องกันมา นอกจากนี้ยังมีการแสดงผลการตรวจหาสารโลหะหนักในผลผลิตทางการเกษตร 66 ตัวอย่าง ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พบสารหนู 17 ตัวอย่าง แคดเมียม 4 ตัวอย่าง และสารตะกั่ว 17 ตัวอย่าง
การตรวจหาสารโลหะหนักในน้ำประปาที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ก็พบสารหนูทุกครั้ง แต่ภาครัฐบอกว่าปลอดภัยดื่มได้ แต่การประปาส่วนภูมิภาคกลับขอแหล่งน้ำดิบใหม่มาทดแทนแม่น้ำกก เนื่องจากเกินกำลังจะกำจัดสารโลหะหนักในแม่น้ำกกแล้ว ซึ่งต้องใช้วงเงินงบประมาณราว 12,000 ล้านบาท ขณะที่การตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนโลหะหนักในสัตว์น้ำ ของกรมประมงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบแบเรียมและสารหนูแต่ภาครัฐกลับบอกว่าไม่เกินค่ามาตรฐาน โดยปัจจุบันชาวประมงได้กลับไปจับปลาขายให้กับคนในท้องถิ่นแล้ว ประชาชนจึงรับสารโลหะหนักผ่านการบริโภคปลา พืชผล ข้าว และการใช้น้ำประปา จึงขอเสนอข้อเรียกร้อง ดังนี้
1.จัดการห่วงโซ่อุปทานแร่ใหม่ เราต้องการระบบตรวจสอบแบบย้อนกลับไปยังแหล่งแร่สกปรกให้ได้ เราต้องรู้ว่าแร่ที่นำเข้าจากเมียนมา มาจากแหล่งแร่ใด
2.เราต้องการระบบข้อมูลข่าวสารที่โปร่งใสเข้าถึงได้ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนไม่เคยรับรู้ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์สารปนเปื้อนเลย
3.เราต้องการแผนใช้น้ำที่ปลอดภัยสำหรับการผลิตข้าวนาปรังในเดือน ม.ค.69 จำนวน 130,000 ไร่ ซึ่งเสี่ยงที่จะใช้น้ำที่ปนเปื้อน 100%
4.เราต้องการศูนย์ตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย เพราะทุกวันนี้น้ำ ปลา พืชผักต้องส่งเข้ากรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะรู้ผล
5.เราต้องการให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบต่อปัญหา 1 เดือนที่ผ่านมาเรา ยังไม่เคยได้ยินจากนายกฯ ว่าก็จะแก้ปัญหาอย่างไร
ดร.สืบสกุล กล่าวว่าสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีหน้า ปัญหายังคงอยู่ จึงขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองเอาประเด็นเรื่อง MOU และมลพิษข้ามพรมแดนเป็นนโยบายของพรรค เพื่อนำไปสู่การหานโยบายใหม่ ๆ ในการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่ เพื่อนำห่วงโซ่ชีวิตของคนกับคืนมา












