ENVIRONMENT

‘วราวุธ’ เตือนเยาวชนตระหนัก ‘ภาวะโลกร้อน’ ชี้ต้องปรับตัวอยู่กับวิกฤตธรรมชาติ

วันนี้ (5 ธ.ค. 68) นายวราวุธ ศิลปอาชา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บรรยายพิเศษหัวข้อ “การอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ให้แก่นักศึกษาในโครงการสัมมนาการพัฒนาและบริหารจัดการด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
นายวราวุธ เน้นย้ำว่า หากไม่จัดการปัญหาที่ดินและสิ่งแวดล้อม ชีวิตของทุกคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องรับไม้ต่อจะประสบกับความรุนแรงของวิกฤตที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นจากปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของไทย รวมถึงที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และบางอำเภอในจังหวัดสุพรรณบุรีว่า มีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ มีข้อมูลชัดเจนว่าเคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนัก 2-3 เมตร ในช่วงวันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2543 หรือเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงเหตุการณ์อุทกภัยและโคลนถล่มที่จังหวัดเชียงราย

นายวราวุธ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกที่สะท้อนผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น การที่ต้นเดือนธันวาคมยังมีฝนตกฟ้าครึ้ม และช่วงต้นปี 2568 มีอากาศเย็นยาวนานถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ปรากฏการณ์เหล่านี้ชี้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และมนุษย์ไม่สามารถหนีสถานการณ์นี้ได้ แต่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และปรับตัวกับมันเพื่อบรรเทาความเสียหาย นี่คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
เขายกตัวอย่างปรากฏการณ์ เอลนีโญ-ลานีญา โดยขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบกับปรากฏการณ์ ลานีญา ซึ่งทำให้อากาศหนาวและมีน้ำมาก แต่หลังจากนั้น 2-3 ปี ก็จะเข้าสู่ช่วง เอลนีโญ ที่จะร้อนและแล้ง
นายวราวุธ ย้อนถึงสถานการณ์เมื่อสองปีที่แล้วที่สุพรรณบุรีประสบกับความร้อนถึง 40 องศาเซลเซียส และความแล้งอย่างหนัก จนน้ำในอ่างเก็บน้ำกระเสียว อำเภอด่านช้าง ลดลงกระทบระบบประปา แต่พอปลายปีเดียวกันอ่างเก็บน้ำกลับต้องปล่อยน้ำทิ้งถึงวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกที่หนักขึ้นทุกวัน พร้อมย้ำว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ คือ ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ชั้นบรรยากาศและสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

นายวราวุธ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาว่า แม้จะรณรงค์ให้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก แต่ตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่บนโลก เราไม่สามารถกำจัดก๊าซเรือนกระจกได้ จึงต้องพยายามปลูกต้นไม้ให้มากขึ้นเพื่อมาดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ปัญหาในปัจจุบันคือมีแต่การตัดไม้ทำลายป่าจนภูเขากลายเป็นหัวโล้น ปริมาณป่าไม้ลดลงไปนับล้านไร่ ซึ่งต้นไม้เป็นส่วนสำคัญในการดึงหน้าดินและดูดซับน้ำ การที่ไม่มีต้นไม้จึงส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์อย่างที่เห็นในขณะนี้

นายวราวุธ คาดการณ์ว่า จากปรากฏการณ์ลานีญาในปัจจุบัน อีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะเจออุณหภูมิเกือบ 50 องศาเซลเซียส และจังหวัดสุพรรณบุรีจะประสบกับความแล้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขาชี้ให้เห็นวิถีชีวิตของชาวสุพรรณบุรีที่มีพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ ซึ่งอยู่กับน้ำมานานหลายสิบปี และได้ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ เช่น การปลูกบ้านยกสูง มีเรือผูกไว้ใต้ถุนบ้าน นี่คือการปรับตัวเพื่ออยู่กับธรรมชาติ

“เราต้องช่วยกันรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม เพราะหากไม่รักษา เราก็ได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับชาวสุพรรณบุรีและคนไทยบ้าง ธรรมชาติจากนี้ไปจะเกิดวิกฤตการณ์หนักขึ้น ท่วมหนักขึ้น แล้งหนักขึ้น ร้อนมากขึ้น หนาวมากขึ้น และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือพวกเรา” นายวราวุธ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมเรียกร้องให้ทุกคนปรับตัวก่อนที่ธรรมชาติจะมาปรับสมดุลให้เรา และนำความรู้ไปส่งต่อให้เพื่อนๆ เพื่อช่วยกันเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม

Related Posts

Send this to a friend