ENVIRONMENT

เปิดภาพล่าสุดแม่น้ำกก สียังขุ่นข้น นักวิชาการจี้รัฐหยุดแนวคิดสร้างเขื่อนดักตะกอน เร่งแก้ปัญหาสารหนูปนเปื้อน

ทีมข่าว The Reporters ลงพื้นที่ไปยังวัดท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จุดนี้เป็นจุดแรกที่แม่น้ำกกไหลเข้าสู่ประเทศไทย หากมองไปกลางลำน้ำจะเห็นได้ชัดว่าน้ำกลายเป็นสีโคลน คาดว่าได้รับผลกระทบมาจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

หากมองจากชั้น 9 จุดสูงสุดของวัดท่าตอน จะเห็นฐานที่ตั้งของทหารเมียนมาอย่างชัดเจนอยู่บริเวณเขาด้านขวามือ ตรงกลางลำน้ำกกไม่ไกลเป็นหนึ่งในจุดที่คาดว่าจะสร้างเขื่อนดักตะกอน

พระมหานิคม มหาภิกนิกขมฺโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน เปิดเผยว่า เดิมทีพื้นที่นี้เป็นเขตทับซ้อนระหว่างไทยกับเมียนมา ประมาณ 30 กิโลเมตร ถูกควบคุมพื้นที่โดยทหารเมียนมา และมีทหารของกองกำลังว้าเข้ามาทำกิจกรรม บริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของ 3 หมู่บ้าน ได้แก่ เมืองกก เมืองสาด และเมืองยอน ส่วนบริเวณที่มีปัญหาการทำเหมืองแร่ อยู่ห่างจากตำบลท่าตอน ขึ้นไปราว 30 กิโลเมตร

ปัญหาน้ำมีพิษเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าแม่น้ำเริ่มขุ่น ก่อนจะพบว่าเป็นช่วงเดียวกับที่เริ่มทำเหมืองในรัฐฉาน ในปี 2567 ยังไม่รู้ว่ามีปัญหาสารพิษ แต่สังเกตพบว่าน้ำขุ่นข้น เป็นน้ำโคลน ไหลหลากเชี่ยวแรง เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนที่พระมหานิคมเป็นเด็ก น้ำจะค่อย ๆ ท่วมไม่เกินศอกต่อวัน ไหลไม่แรง ไม่ขุ่น จับปลาได้เพิ่งรู้ว่ามีการทำเหมืองเปิดหน้าดินในรัฐฉาน ก็เมื่อมีฝนพัดลงสู่แม่น้ำกกเมื่อปีที่ผ่านมา

นางสาวสมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กล่าวว่าเรายังไม่มีข้อมูลการปนเปื้อนในแม่น้ำกก สาย โขงที่แน่ชัดแม้จะพบการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ แต่เนื่องจากเหมืองอยู่ในพื้นที่เมียนมา ทำให้ไม่มีข้อมูลว่าทำเหมืองแร่อะไร เปิดหน้าดินกี่จุด ใช้สารเคมีอะไรในการแต่งแร่ ปริมาณเท่าไร จัดการเหมืองแร่อย่างไร จึงมีการตั้งสมมติฐานว่า เป็นเหมืองแร่เถื่อนที่ต้นน้ำ โดยไม่ได้ขออนุญาต หรือไม่ได้มีการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

เราสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผลตรวจของกรมควบคุมมลพิษจึงยืนยันว่า ตรวจพบการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเกินค่ามาตรฐานเกือบทุกจุด จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการหาข้อมูลเพื่อวางแผนความเสี่ยง ซึ่งตามหลักวิชาการจะต้องจัดการความเสี่ยงที่แหล่งกำเนิด และฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน แต่เมื่อแหล่งกำเนิดมลพิษไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจอธิปไตยของไทย จึงใช้กฎหมายเข้าไปจัดการไม่ได้ รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่สามารถกำกับมลพิษข้ามพรมแดนได้ด้วย

ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยง และสื่อสารกับชาวบ้านอย่างตรงไปตรงมา แม้มลพิษจะไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ก็มีการสะสมเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำได้เพื่อเซฟชีวิตของชาวบ้าน โดยที่ไม่ต้องทำเขื่อนดักตะกอนคือ การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบประปาของชุมชน แต่ละหมู่บ้านจะมีแหล่งน้ำดิบเป็นของตนเอง บางที่ดูดน้ำตรงจากแม่น้ำ บางที่ใช้ประปาบาดาล บางที่ใช้บ่อน้ำตื้นผ่านการบำบัด ซึ่งเราไม่รู้ว่าชาวบ้านใช้น้ำจากที่ใดบ้าง มีเทคโนโลยีการบำบัดอย่างไรบ้าง หากเราให้ความรู้เรื่องจัดการสารหนูแก่ชาวบ้านก็จะช่วยลดกับการสัมผัสสารพิษและการเจ็บป่วยได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ชาวบ้านต้องตรวจวัดคุณภาพน้ำให้เป็น รัฐบาลจะต้องให้ชาวบ้านเข้าถึงชุดตรวจภาคสนาม ฉะนั้นขอให้รัฐบาลอย่าพึ่งตัดสินใจว่าจะสร้างเขื่อนหรือไม่ เนื่องจากในพื้นที่มีความซับซ้อน ทั้งวิถีชีวิตและการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำ จะต้องมีการพูดถึงทางเลือกในการจัดการและการบริหารความเสี่ยง สำคัญที่สุดคือ ชุมชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในครั้งนี้ด้วย

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat