วันนี้ (3 ธ.ค. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนริมแม่น้ำโขงในภาคอีสานยังคงวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่น้ำแม่น้ำโขงใสและกลายเป็นสีเขียวคราม ซึ่งนักวิชาการหลายสำนักต่างเตือนว่าเป็นปรากฎการณ์ “หิวตะกอน” เนื่องจากตะกอนทั้งหมดถูกเขื่อนไซยะบุรีกักไว้หมดและจะส่งผลให้เกิดการกัดเซาะตลิ่งครั้งใหญ่ นอกจากนี้ล่าสุดชาวบ้านยังพบซากสัตว์น้ำทั้งปลา หอยและปูตายตามแนวตลิ่งอยู่ประปราย
ทั้งนี้ข้อมูลจากเว็บไซต์ขององค์กรแม่น้ำนานาชาติ อ้างอิงถึงบทความของนายแพททริก แมคคูลลี่ อดีตผู้อำนวยการ International Rivers ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า แม่น้ำทุกสายต่างนำพาตะกอนดินและหินจากที่ๆ แม่น้ำไหลผ่าน แต่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ กักเก็บตะกอนเหล่านี้ไว้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะตะกอนขนาดใหญ่และกรวด ทำให้แม่น้ำทางตอนล่างของเขื่อนมีอาการ “หิว” ตะกอนเหล่านี้ โดยเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่มีช่องระบายตะกอนต่ำจะกักเก็บตะกอนไว้กว่า 90 % หรือบางกรณีอาจถึง 100% ของปริมาณตะกอนที่ไหลเข้ามา แม่น้ำท้ายเขื่อนที่มีลักษณะใส เรียกว่า แม่น้ำที่ “หิว” ซึ่งจะพยายามดึงตะกอนเพื่อเข้ามาเติมเต็ม โดยเป็นตะกอนจากตลิ่งสองฝั่งน้ำ และจากท้องน้ำ ทำให้เกิดการกัดเซาะท้องน้ำและตลิ่ง และอาจจะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้นทางท้ายน้ำลงไปเรื่อยๆ
ในบทความดังกล่าวระบุว่า เมื่อเวลาผ่านไป การกัดกร่อนก็จะนำพาดินและตะกอนออกไปจากท้องน้ำทั้งหมด ทำให้ท้องน้ำมีลักษณะ “หุ้มเกราะ” (armoured riverbed) เป็นลำน้ำที่เต็มไปด้วยหิน เมื่อท้องน้ำเปลี่ยนไป ปราศจากก้อนกรวดเล็กๆ ซึ่งเป็นที่วางไข่และหากินของปลาสายพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะปลาที่อาศัยอยู่บริเวณท้องน้ำ รวมทั้งหอย และสัตว์น้ำเปลือกแข็งชนิดต่างๆ ซึ่งสัตว์หน้าดินเหล่านี้เป็นอาหารสำคัญของปลาและบรรดานกน้ำ ขณะที่ทางน้ำและร่องน้ำที่เปลี่ยนไป อาจทำให้ลดพื้นที่ซึ่งกรวดจะถูกย่อยสลายเป็นตะกอนให้แก่แม่น้ำอีกด้วย