“ทางฝ่ายความมั่นคงก็ทราบดีว่าผู้จัดเป็นใคร เหตุใดจึงไม่ติดต่อมาทางผู้จัดงานโดยตรง จะได้อธิบายและชี้แจงกันตรงๆ ว่าเราจัดงานนี้ขึ้นมาเป็นลักษณะ City Run ไม่ได้ใช้เครื่องขยายเสียง ไม่มีเวที พื้นที่มัสยิดกลางก็แค่เป็นจุดปล่อยตัว และเป็นจุด Finish ของนักวิ่ง ไม่ได้จัดงานใดๆ ในมัสยิดกลาง และระยะทางเพียงแค่ 3.5 กิโลเมตร รูปแบบงานสื่อถึงการแสดงพลังของประชาชน เน้นการมีส่วนร่วมเป็นหลัก และไม่มีการจัดอันดับและมีเรียญรางวัลใดๆ อีกทั้งจัดในช่วงเช้าตรู่ของวันหยุด จึงไม่เห็นว่าจะสร้างความวุ่นวายใดๆ ให้กับเมือง”
ทางตัวแทนผู้จัดงานระบุ และเปิดเผยว่า หลังจากมีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดียก็มีเสียงตอบรับจากคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นอย่างมาก เห็นความตื่นตัวทางการเมือง มีการแชร์และบอกต่อๆ กันจำนวนมาก แต่ยังระบุไม่ได้แน่ชัดว่าวันที่ 12 มกราคมนี้จะมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนเท่าไหร่
“ความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ที่ชายแดนใต้ต่อการเมืองที่กรุงเทพฯ มีมากขึ้น เพราะการเติบโตของโลกโซเชียลมีเดียที่เปิดช่องทางให้คนรุ่นใหม่รับข้อมูลข่าวสารและปฏิสัมพันธ์กับคนนอกพื้นที่มากขึ้น เด็กรุ่นใหม่อาจเกิดไม่ทันตอนเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2547 แต่พวกเขาเติบโตและมองเห็นการเลือกปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานในพื้นที่ เช่นพบเจอด่านทหารคนที่ไว้หนวดเคราหรือคลุมผมก็จะถูกตรวจค้นมากกว่าคนทั่วไป การพบเห็นปัญหาการบังคับใช้กฏหมายพิเศษอย่างอยุติธรรม ผสมกับปัญหาเศรษฐกิจจากการบริหารงานของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้คือแรงจูงใจที่ทำให้กิจกรรมวิ่งไล่ลุง-ตานีเกิดขึ้น”
โดยทางผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง-ตานีระบุว่า แม้จะมีคำสั่งบีบไม่ให้ใช้พื้นที่ของมัสยิดกลางฯ เป็นแลนด์มาร์คของกิจกรรมครั้งนี้ ก็จะดำเนินกิจกรรมวิ่งไล่ลุงต่อไป โดยเน้นการวิ่งบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้จบกิจกรรม.